อ.ธนากร: เมื่อวานก็ได้นำข้อความที่ท่านอาจารย์เคยตั้งคำถามให้พวกเราได้คิด เพราะว่า โดยมากเราก็คุ้นเคยกับคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งก็เป็นภาษาบาลี แต่ว่าท่านอาจารย์ได้ให้ความเข้าใจว่า เห็นธรรมดาๆ นี่มีหรือเปล่า? และที่มีเกิดหรือเปล่า? ทีนี้พอมีความเข้าใจแล้วว่า เห็น ต้องเกิดแล้วก็ดับ
ท่านอาจารย์ก็มีคำถามว่า เห็น เกิดแล้วดับ ดีไหม? ซึ่งอันนี้เป็นความซาบซึ้ง เป็นความไพเราะกินใจมาก เพราะว่าเป็นความธรรมดาที่สุด แต่ว่า ท่านอาจารย์ถามว่า แล้วที่เป็นอย่างนั้นดีไหม? ซึ่งไม่ว่าจะคิดในแง่ไหนตามความเป็นจริงไม่ดีแน่นอนครับ จึงรู้เลยครับว่า นี่คือความหมายของคำว่า ทุกขัง แต่ว่าเป็นเพียงแค่ความคล้อยตามเหตุผลของความจริงที่ต้องเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนไม่ได้ แต่ว่า ปัญญาก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงว่า ไม่ดีแน่นอนครับ เพราะว่ายังอยู่ในขั้นของการฟังครับ แต่ก็มีความเข้าใจที่ถูกต้องในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เห็น ที่เกิดแล้วดับเดี๋ยวนี้ ต้องไม่ดีแน่นอนครับ
กราบเท้าท่านอาจารย์ในความลึกซึ้งของความเป็นทุกข์ครับ
ท่านอาจารย์: แก้วแตกดีไหม?
อ.ธนากร: ไม่ดีครับ
ท่านอาจารย์: แล้วเดี๋ยวนี้แก้วแตกแล้วหรือยัง?
อ.ธนากร: เดี๋ยวนี้แก้วไม่แตกครับ
ท่านอาจารย์: แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า แก้วแตกไม่ดี
อ.ธนากร: ต้องเห็นแก้วแตกครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เป็นทุกข์หรือเปล่า?
อ.ธนากร: เป็นทุกข์ แต่ยังไม่เห็นว่าเป็นครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เป็นทุกข์หรือเปล่า?
อ.ธนากร: ไม่เป็นครับ
ท่านอาจารย์: เพราะอะไร?
อ.ธนากร: เพราะไม่เห็นมีอะไรดับไปครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จึงต้องศึกษาให้รู้ความจริง กว่าจะประจักษ์แจ้ง จึงจะสามารถ ขณะนั้น ไม่ดีเลยเป็นทุกข์ ขณะนั้นที่แตกกับตา กับความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงปรากฏว่า ไม่ดีเลย แต่เดี๋ยวนี้ยังไม่แตกแล้วจะบอกว่าไม่ดีได้อย่างไร แก้วยังใช้ได้ ใส่น้ำได้
อ.ธนากร: ใช่ครับ เพราะว่าเป็นเพียงความเข้าใจขั้นฟังจริงๆ ที่รู้ ตามเหตุผลว่า เห็น เดี๋ยวนี้เกิดแล้วก็ดับ เหมือนกับแก้วยังคงอยู่ ยังไม่มีอะไรที่แตกไปเลยครับ แสดงถึงความไม่รู้ที่มีมากมายมหาศาลครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่รู้อย่างนี้จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม?
อ.ธนากร: ไม่รู้แน่นอนครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยากไหม?
อ.ธนากร: ยากที่สุด
ท่านอาจารย์: ถึงรู้ ก็รู้เพียงเท่าที่ปัญญาสามารถจะรู้ได้ แต่พระปัญญาของพระองค์ไม่สามารถจะปรัมาณได้เลย
อ.ธนากร: เพราะว่า ทุกคำที่พระองค์ตรัส ตรัสไว้ดีแล้วทุกคำจริงๆ ครับ เมื่อพิจารณาตามคือจริงที่สุด แต่ว่าทุกอย่างที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ยังไม่เหมือนกับที่พระองค์ตรัสเลยครับ แม้แต่คำว่า ทุกข์ ก็ยังสบายดีครับ ยังไม่มีอะไรที่แตกทำลายครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จะประจักษ์แจ้งธรรมที่พระองค์ได้ทรงประจักษ์แจ้งแล้ว อีกนานเท่าไหร่?
อ.ธนากร: นานมากๆ ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่มีอะไรแตกไปเลยสักอย่างให้เห็นใช่ไหม?
อ.ธนากร: ใช่ครับ ยังไม่รู้จักสิ่งที่แตกด้วยครับ เพราะว่า แม้แต่ธรรมจริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยครับ
ท่านอาจารย์: ไม่รู้เลย แล้วจะแตกได้อย่างไร ใช่ไหม? อะไรแตก? ต้องตรง
อ.ธนากร: ใช่ครับ แต่ก็น่าอัศจรรย์ ที่มีพระดำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงความจริงที่ไม่รู้มาก่อนครับว่า เห็นเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับจริงๆ แม้ว่ายังไม่รู้ตาม เพียงแค่ได้ยินได้ฟังความจริงอย่างนี้ ก็หาได้ยากยิ่งครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหม มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พึ่งเพื่ออะไร?
อ.ธนากร: พึ่งเพื่อรู้ความจริงที่ยังไม่รู้ครับ
ท่านอาจารย์: ถูกต้อง พึ่งไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าบอกว่าเป็นที่พึ่ง กล่าวจบ ไม่รู้อะไรเลย
อ.ธนากร: ครับ มีความสุขครับโดยที่ยังไม่รู้ว่า จริงๆ แล้วเป็นทุกข์ครับ
ท่านอาจารย์: สุขที่รู้ว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ เปลี่ยนไม่ได้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ขณะไหน เป็นอย่างนี้ แต่ยังไม่รู้ แต่ยังสามารถได้ยิน ได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง จนค่อยๆ เข้าใจความจริงเพื่อประจักษ์แจ้ง การที่ขณะนี้แตกอยู่ โลกแตกทุกขณะ น่ากลัวไหม โลกแตก?
อ.ธนากร: ถ้าได้ยินว่าโลกแตก น่ากลัวมากครับ แต่ว่า ตอนนี้ไม่เห็นภัยไม่เห็นน่ากลัวอะไรเลย เพราะว่าเหมือนเที่ยงครับ
ท่านอาจารย์: แค่น้ำท่วมก็ตกใจจะแย่แล้วใช่ไหม?
อ.ธนากร: ครับ
ท่านอาจารย์: แต่นี่โลกแตก ไม่ใช่น้ำท่วม
อ.ธนากร: ครับ แต่ความจริงทุกอย่างก็ไม่มีอะไรเหลือเลยครับ เพียงแค่คิดตามก็เป็นอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส แต่ว่า ไม่มีปัญญาที่จะเห็นครับ
ท่านอาจารย์: จนกว่าจะประจักษ์จริงๆ ไม่เหมือนที่กำลังพูดเลย ที่จะได้เริ่มรู้จักพระพุทธเจ้า
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ธนากร ด้วยความเคารพค่ะ