ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
(บันทึกภาพโดยพี่วันชัย ภู่งาม ๒๓ พ.ย. ๕๖)
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ครั้งที่ ๑๑๘
- ความตายใกล้ที่สุดอาจจะเกิดขึ้นขณะหนึ่งขณะใดได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นผู้ที่ประมาทมัวเมา ไม่คิดถึงว่า จะต้องเป็นผู้ที่จะถึงแก่ความตาย จะเร็วหรือช้าก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ถ้าไม่ระลึกอย่างนี้บ้างเลย วันหนึ่งๆ ก็ผ่าน ไปโดยการที่ท่านไม่ได้อบรมเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้น เพราะเหตุว่าเรื่องของ อกุศลจิตนี้มีปัจจัยพร้อมที่จะเกิดอยู่เสมอ แต่เรื่องของกุศล นานๆ ก็จะมีโอกาส มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น
- ถ้าหากว่าในแต่ละวัน ชีวิตเต็มไปด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน ยินดี ติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ย่อมทำให้เป็นผู้เหินห่างจากการฟังพระธรรม ไม่ได้ไตร่ตรองพิจารณาถึงพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ตัณหา หรือโลภะ จึงเป็นธรรมเครื่องเนิ่นช้า ทำให้ปัญญาไม่เจริญขึ้น หรือ แม้แต่ ผู้ได้ยินได้ฟังพระธรรม มาบ้าง แต่เป็นผู้มีความหวัง มีความต้องการที่จะให้ ได้ผลโดยเร็วจากการศึกษาพระธรรม อยากให้สติเกิด อยากให้ปัญญาเกิด นี่ก็เป็นเครื่องเนิ่นช้าด้วยเช่นกัน เพราะความอยาก ความต้องการ เป็นอกุศลธรรม
- เคยได้ยินคำพูดที่ไม่ดีบ้างไหม เวลาที่เกิดโกรธใครก็ตาม เคยได้ยินคำ พูดอย่างนี้ ความคิดอย่างนี้ ความเห็นอย่างนี้ว่า ขอให้บุคคลผู้นี้อย่ามีความ เจริญเลย เคยได้ยินไหม? เคย ควรหรือไม่ควร? ไม่ควร แต่ผู้ที่กำลังคิด อย่างนั้น กำลังกล่าวอย่างนั้นไม่เห็นว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควร การที่จะไปคิดร้ายต่อคนอื่นนั้น ไม่เป็นประโยชน์เลย แต่คนนั้นก็กลับ เห็นว่าเป็นประโยชน์ ที่จะต้องให้เขาเสื่อมอย่างนั้น อย่าเจริญอย่างนั้น มิตรเป็นสิ่งที่สำคัญมากในชีวิตของทุกท่าน ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ใดๆ ที่ท่านต้องการความช่วยเหลือ มิตรแท้ย่อมสามารถที่จะช่วยเกื้อกูลอนุเคราะห์ได้ ถ้าท่านมีเมตตา อยากให้คนอื่นมีความสุขทุกประการ นั่นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่เวลาเกิดโกรธ กลับปฏิบัติสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์ คือ กลายเป็นความมุ่งร้าย ผูกโกรธต่างๆ ที่จะให้คนอื่นเป็นทุกข์ต่างๆ
- ท่านผู้ฟังจะเห็นกำลังของความโกรธได้จริงๆ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นมารดา อาจจะได้รับความรู้สึกกระทบกระเทือนใจจากความโกรธของลูก เวลาที่ความ โกรธมีกำลัง อาจจะกระทำให้มารดาบิดาเสียใจ ทั้งทางกายก็ได้ ทางวาจาก็ได้ ทั้งๆ ที่ในยามที่ไม่โกรธ ก็อาจจะตั้งใจว่า จะเป็นลูกที่ดี ที่จะเลี้ยงดูอุปการะ พ่อแม่ในยามแก่ยามเฒ่า แต่พอเกิดโกรธขึ้นมา กำลังของความโกรธอาจจะ ทำให้ถึงกับประทุษร้ายได้
- อยู่ดีๆ แท้ๆ ก็หาทุกข์ให้กับตนเอง ด้วยการไปโกรธคนอื่น
- สภาพธรรมเป็นอนัตตา เมื่อเป็นกิเลสที่มีกำลัง ก็ย่อมจะกระทำกรรมต่างๆ ตามกำลังของกิเลสนั้นๆ ที่พระผู้มีพระภาคทรงชี้ให้เห็นอกุศลธรรมต่างๆ ก็เพื่อจุดประสงค์ที่จะให้ ฝึกฝนตน มีความเพียรในการที่จะอบรมปัญญา ในการที่จะดับกิเลส แต่ก็ต้อง พิจารณาพระธรรมที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด เพื่อประโยชน์แก่ตัวของท่านเอง เรื่องของความสะอาด ไม่ใช่อย่างอื่นเลย นอกจากกาย วาจา ใจ ถ้าเป็นสุจริต ก็สะอาด ถ้าเป็นทุจริตก็ไม่สะอาด
- ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นจริงแต่ละหนึ่งๆ ใจของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะผู้ที่ยังเต็มไปด้วยกิเลสทั้งหลายทั้งปวง มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ย่อมไม่สงบเพราะมีอกุศลธรรมเกิดขึ้นครอบงำกลุ้มรุม ไม่ปล่อยให้เป็นกุศล ขณะใดที่จิตเป็นอกุศล ขณะนั้นย่อมไม่สงบ แต่ในทาง ตรงกันข้าม ขณะใดที่กุศลธรรมเกิดขึ้น ขณะนั้นสงบจากอกุศล เช่น ขณะ ที่ฟังพระธรรมเข้าใจ จิตเป็นกุศลมีปัญญาเกิดร่วมด้วย ขณะนั้นก็สงบจาก ความไม่รู้ เพราะปัญญาเกิดขึ้นแทนอกุศล
- ประโยชน์ของการมีชีวิต คือเพื่ออบรมเจริญปัญญา จากที่ไม่เคยเข้าใจ ความจริง จากที่เต็มไปด้วยความมืดคือ อวิชชา ก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ยิ่งขึ้น เมื่อมี ปัญญาเจริญขึ้น ก็จะทำให้เป็นผู้มีชีวิตที่ดำเนินไปด้วยปัญญาตามที่ตนมี เปลี่ยนจากที่เคยอยู่ด้วยอกุศลประการต่างๆ มากมาย มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เป็นผู้อยู่ด้วยกุศลที่เพิ่มขึ้น
- เป็นโอกาสที่ยากแสนยาก ยากอย่างยิ่งกว่าจะได้ฟังพระธรรม ไหนๆ ก็ได้ ฟังแล้ว ก็ขอให้เห็นประโยชน์จริงๆ ฟังจริงๆ เพื่อเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง
- ถ้าตราบใดยังมีความติดข้องหวงแหนในวัตถุ วัตถุนั้นท่านไม่อาจสละให้ เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่นได้ เพราะฉะนั้น ทานก็อาศัยอโลภะ (ความไม่ติดข้อง) เป็นปัจจัยสำคัญในการที่จะให้บำเพ็ญทานกุศลได้
- ผู้ที่จะมีความเกษม ความสบาย ความไม่ขัดเคืองได้ ก็ต้องเป็นผู้ละคลาย ขัดเกลากิเลสของตนเองได้ จึงจะมีความเกษม มีความสบาย มีความไม่ ขัดเคืองยิ่งขึ้น พร้อมกันนั้นการกระทำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางกายและทาง วาจานั้น ก็จะต้องไม่มีเวร ไม่มีภัย คือ ไม่เป็นไปในทุจริตในอกุศลกรรม จึง จะเรียกว่าเป็นบัณฑิต
- พาลที่ร้ายกาจที่สุดคือความเห็นผิด เพราะเหตุว่าคำพูดทุกคำเป็น คำเท็จ ไม่ใช่คำจริง เพราะฉะนั้นวาจาจริง ไม่ใช่พาล ไม่ได้เบียดเบียนใคร ให้เดือดร้อน แต่อนุเคราะห์ให้ได้เข้าใจถูกเมื่อได้พิจารณาว่าถูกหรือเปล่าจริง แค่ไหน เพราะว่าความจริงต้องเป็นความจริงตลอด จะเป็นเท็จไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ได้เบียดเบียน ไม่ใช่พาล แต่คำไม่จริงต้องเป็นพาลแน่ เพราะเหตุว่าทำให้เกิดความเข้าใจผิด
- ใครจะเป็นอย่างไร มีความคิดเห็นอย่างไรกระทำทุจริตแค่ไหนระดับไหน ใจของเราไม่ขุ่นข้อง แต่ถ้าใจเราขุ่นข้อง ขณะนั้นก็เป็นพาลอีกเหมือนกัน เรานั่นแหละที่เป็นพาล
- เรื่องของคนถ่อย เป็นเรื่องของอกุศล เท่านั้น ไม่ใช่ กุศล เพราะกุศล ไม่ถ่อย ถ้ามีความประสงค์ที่จะเข้าใจพระธรรมให้ละเอียดยิ่งขึ้น ก็จะต้องฟังพระธรรม ต่อไปด้วยความไม่ประมาท
- การประพฤติปฏิบัติในทางที่ถูกต้องตรงตามพระธรรมคำสอนของพระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น ที่จะเป็นสาระของชีวิต
- ยิ่งศึกษาพระธรรม ก็ยิ่งจะขัดเกลาละคลายกิเลสของตนเอง ไม่ใช่ศึกษาแล้วยิ่งพองด้วยความสำคัญตนหรือเห็นว่าตนเองเป็นคนสำคัญ เป็นต้น ทั้งชีวิตทีเดียวที่จะน้อมนำประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมที่พระผู้มี พระภาคทรงแสดงไว้ เพื่อการขัดเกลาและดับกิเลส.
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม... ครั้งที่ ๑๑๗
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ
- การที่จะถึงที่สุดโลกได้ก็ไม่ใช่ด้วยการเดินทาง แต่ด้วยการอบรมเจริญสติปัฏฐาน และการอบรมเจริญกุศลทุกประการ ไม่ว่ากุศลจะเล็กน้อยเท่าไร ก็ไม่ควรละเลย ค่อยๆ สะสมไว้เป็นอุปนิสัย เพราะกุศลแม้เพียงเล็กน้อยจะไม่ให้ผลนั้นไม่มี เพราะ อวิชชาคือความไม่รู้เป็นภัยใหญ่เป็นเหตุให้กระทำกรรมชั่วบ้างดีบ้าง ทำให้ต้อง เดินทางไกลอยู่ในสังสารวัฏฏ์ เกิดในทุคติภูมิบ้าง ในสุคติภูมิบ้างซึ่งเป็นเพียงที่ พักชั่วคราวเท่านั้น โลกที่แท้จริง จึงเป็น โลกของความคิด ของแต่ละบุคคลเมื่อ สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และ รูปธรรม จริงๆ ก็จะรู้ชัดว่า ขณะนั้น เป็นนามธรรม ที่กำลังคิดเรื่องต่างๆ เท่านั้นไม่ว่าจะคิดอะไร ก็ตาม
- สิ่งสำคัญก็คือเริ่มที่ตัวเราทุกคน และเริ่มเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปกะเกณฑ์คนนั้นคนนี้ กลุ่มนั้นกลุ่มนี้ว่าควรทำดี แต่เริ่มที่ตัวเรา เริ่มเดี๋ยวนี้ เรามีหน้าที่อย่างไรก็ทำหน้าที่ ของตนให้ดีที่สุด รักษาจิตใจของเราให้ไม่โกรธ ไม่เคียดแค้นพยาบาทคนที่เราคิด ว่าไม่ดีเพราะถ้าเราอยู่ในสถานการณ์สิ่งแวดล้อมอย่างเขา เราก็อาจจะทำอย่างนั้น ก็ได้ เมื่อเขาทำความดี เขาก็คือคนดี เพราะฉะนั้นก็ให้อภัยกันที่หลงผิดปล่อยให้ ความอยากได้เงิน อยากได้อำนาจและเงินทองมีมากจนทำให้มืดบอด ไม่เห็นความ ผิดชอบชั่วดี จึงควรเริ่มที่ตัวเราให้ทำความดีก่อน แล้วบอกกล่าวคนใกล้ชิดให้ทำ ความดี และต่อๆ ไปเหมือนเริ่มจุดเทียนของเราให้สว่างก่อน ให้คนอื่นต่อแสงสว่าง นั้นต่อไปเรื่อยๆ จนสว่างไปทั่ว เมื่อเป็นเช่นนั้น การปกครองระบอบใดก็คงไม่สำคัญ ถ้าทุกคนในสังคมเป็นคนดี - ความหวังให้บ้านเมืองสงบ ความหวังก็เป็นอกุศลจิต ต้องเป็นผู้ตรงต่อสภาพธรรม บ้านเมืองจะสงบหรือไม่สงบไม่ได้อยู่ที่เราหวัง แต่อยู่ที่เหตุปัจจัยทั้งนั้น การเป็นคนดี ทุกขณะ และฟังธรรมให้เข้าใจ จึงเป็นการช่วยตัวเองให้พ้นจากการกระทำกรรมชั่ว และ ยังได้ชื่อว่ารักชาติบ้านเมืองอีกด้วย บ้านเมืองจะสงบได้เพราะทุกคนเป็นคนดี ดีอย่างเดียวยังไม่พอต้องมีความรู้ความเข้าใจธรรมะด้วย
- ผู้ศึกษาธรรมไม่ใช่จะศึกษาแต่เรื่องราวของพระธรรม ได้ฟังคำมากๆ เช่นคำว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะ กุศล อกุศล บุญและบาป เป็นต้น โดยที่ไม่มีความเข้าใจจริงๆ ถึงคำแต่ละคำจริงๆ ของพระธรรม พระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ผู้ศึกษาควรได้ศึกษา ธรรมที่ละคำให้เข้าใจจริงๆ
-สติปัฏฐานจะเกิดขึ้น รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามปกติ ตามความเป็นจริงโดยไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยนั้นไม่ได้ ขณะที่ สติกำลัง รู้สภาพธรรมใดๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนั้นๆ ก็เป็นสิ่งที่ เลือกไม่ได้เลย เพราะเป็น อนัตตา คือ ต้องเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้ สติปัฏฐาน ก็เป็น อนัตตาเพราะฉะนั้นความรู้ ความเข้าใจ ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จากการ ฟัง พระสัทธรรม แล้ว ละความต้องการ ว่าเมื่อไรสติปัฏฐานถึงจะเกิด สติปัฏฐาน จึงจะมีปัจจัย ที่จะเกิด ขึ้นได้.
- ผู้ที่เข้าใจพระธรรม ควรเห็นประโยชน์ของการอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะสภาพ ธรรมตามความเป็นจริง ดีกว่าจะไปโกรธ ไปเดือดร้อนใจถึงเหตุการณ์ต่างๆ เพราะ ความหวั่นไหว ความโกรธ ความเสียใจไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย คนมีปัญญาจะไม่ แสวงหาอย่างอื่นเลย นอกจากความเห็นถูกความเข้าใจถูก
- แม้แต่การน้อมไปในภาวนา ก็ไม่มีตัวตนที่จะน้อมแต่เป็นการปรุงแต่งของสังขาร ขันธ์ที่เกิดขึ้นเป็นไปน้อมไปในกุศลธรรมทั้งหลายนั่นเอง ซึ่งต้องอาศัยการฟัง พระธรรม ศึกษาพระธรรมเท่านั้น ที่จะเป็นไปเพื่อยังกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อมได้ ในชีวิตประจำวันทั้งทาน ศีล และ การอบรมเจริญปัญญา
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ความตายใกล้ที่สุด อาจจะเกิดขึ้นขณะหนึ่งขณะใดได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นผู้ที่ประมาทมัวเมา ไม่คิดถึงว่า จะต้องเป็นผู้ที่จะถึงแก่ความตาย จะเร็วหรือช้าก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ถ้าไม่ระลึกอย่างนี้บ้างเลย วันหนึ่งๆ ก็ผ่าน ไปโดยการที่ท่านไม่ได้อบรมเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้น เพราะเหตุว่าเรื่องของ อกุศลจิตนี้มีปัจจัยพร้อมที่จะเกิดอยู่เสมอ แต่เรื่องของกุศล นานๆ ก็จะมีโอกาส มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น
กราบเท้าท่านอาจารย์และกราบขอบคุณอาจารย์คำปั่นครับ
ได้รับหนังสือที่อาจารย์คำปั่นส่งมาให้เรียบร้อยแล้ว ต้องขออภัยที่ต้องตอบรับที่กระทู้นี้ครับ กราบขอบพระคุณในเมตาของท่านด้วยครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ผู้ที่เข้าใจพระธรรม ควรเห็นประโยชน์ของการอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง ดีกว่าจะไปโกรธ ไปเดือดร้อนใจถึงเหตุการณ์ต่างๆ เพราะความหวั่นไหว ความโกรธ ความเสียใจไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย คนมีปัญญาจะไม่แสวงหาอย่างอื่นเลย นอกจากความเห็นถูกความเข้าใจถูก
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ขออนุโมทนาครับ