ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ท่านอาจารย์ ค่ะคือในขณะนี้ ธรรมเป็นสี่งที่มีจริง เป็นปรมัตถสัจจะ แล้วก็พิสูจน์ลักษณะของสภาพธรรมได้ทุกขณะขึ้นอยู่กับปัญญาที่ได้รับฟัง และมีความเข้าใจมากน้อย
เช่นในขณะนี้ทางตากำลังเห็น เป็นปกติธรรมดา ปัญญาที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมไม่ผิดปกติจากในขณะนี้เลย เพราะฉะนั้นผู้นั้นจึง เป็นผู้มีปกติ อย่าลืมนะคะ ปกติจริงๆ ค่ะ
ในขณะนี้ระลึกได้แล้วก็รู้ว่า ขณะนี้เป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้ ลักษณะรู้อย่างหนึ่งซึ่งแต่ละบุคคลจะเป็นผู้ที่รู้ด้วยตนเองว่า ปัญญาของตนเอง เพี่มขึ้นบ้างไหมจากที่กำลังเห็นนี้ แล้วก็เป็นปกติอย่างนี้ แล้วก็จะรู้ขึ้น เช่นเดียวกับทางหู ที่กำลังได้ยินเป็นลักษณะรู้ เป็นสภาพรู้
ธรรมเป็นเรื่องที่ขั้นฟังเข้าใจว่า ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายเป็นนามธรรมและรูปธรรมทั้งหมด ความจริงแต่ละข้อความมที่ได้รับฟัง จะต้องถึงการพิสูจน์ หรือการประจักษ์แจ้ง โดยที่ว่าจะไม่เปลี่ยนเลยนะคะสภาพธรรมตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นเพียงนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น นี่ขั้นฟังเข้าใจ เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมจึงเป็นในขณะไหนก็ได้ทั้งสี้น เพราะว่าตลอดชีวิตเป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้นจริงๆ
เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังเห็นแล้วไม่เคยรู้แม้ว่าจะฟังพระธรรมเป็นปีๆ แต่ว่าทางตานี้ก็คงยาก ที่จะรู้จริงๆ ว่าสภาพรู้ คือขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ แต่ว่าเมี่อฟังไปแล้วมีสติระลึกบ้างแล้วก็ฟังอีกเข้าใจอีก พิจารณาอีก สติเกิดระลึกอีก
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส บ่อยๆ เพราะฉะนั้นผู้ที่อบรมเจริญปัญญาว่าสภาพธรรมมีแต่ไม่คุ้นเคย ไม่เคยชินกับลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมเลย ทั้งๆ ที่มีอยู่ตลอดเวลา ทางเดียวที่จะทำให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ถูกต้องก็คือ ระลึก สติเกิดแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เนืองๆ บ่อยๆ การที่จะรู้ว่าเรี่มเข้าใจบ้าง ก็คือว่าไม่สงสัยในหนทางที่ประพฤติปฏิบัติ คือไม่เข้าใจว่าจะมีทางอื่น ที่จะทำให้รู้เร็วหรือรู้ชัดเพราะว่าต้องเป็นปัญญาของตนเอง แล้วจะละคลายความกระวนกระวายความต้องการซึ่งอาจจะเกิดจากการที่เคยได้ยินได้ฟังว่า ถ้าปฏิบัติสักเดือนหนึ่งหรือ สามเดือนหรือว่าอาจจะถึงปีหนึ่งโดยเข้มข้นก็จะทำให้ ปัญญาสามารถที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม และบางท่านก็อาจจะเข้าใจว่าสามารถที่จะหมดกิเลส รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ซึ่งบางท่านก็เข้าใจว่า ท่านรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระโสดาบันบ้าง หรือพระสกทาคามีบุคคล บ้าง
นั่นคือความต้องการ แต่ไม่ใช่การรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติตามความเป็นจริง ไม่ต้องมีการเข้มข้น ขณะนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏแล้ว ปกติให้รู้ลักษณะที่ต่างกันของขณะที่หลงลืมสติกับขณะที่สติเกิด สลับกันอย่างปกติ ให้เข้าใจว่าการสลับกันของสติสัมปชัญญะที่เป็สติปัฏฐานที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมซึ่เกิดแล้วดับจะต้องเหมือนกับทางอื่นเช่นทางตาในขณะนี้ เห็นแล้วก็ดับหมดไป ได้ยินชั่วขณะแล้วก็หมดไปมีอะไรที่ผิดปกติบ้างในขณะที่เห็นแล้วก็ได้ยิน ไม่มีการผิดปกติเลย ฉันใด เวลาที่ความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมมีมากขึ้นเป็นสัญญาความจำที่มั่นคง เป็นเหตุปัจจัยทำให้สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรม ก็เหมือนกับทางตากับทางหู ทางตา จิตเกิดขึ้นแล้วก้ดับแล้วทางหูก็เกิดขึ้นต่อ ได้ยินแล้วก็ดับ
เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานที่จะเกิดก็คือ ทางตาที่เห็น สติก็ระลึกตามปกติ แล้วก็ดับสลับกัน เสียงสลับกับการได้ยิน สลับกับสภาพธรรมอื่นๆ เป็นปกติ แต่ว่าในตอนต้น สภาพธรรมย่อมไม่ปรากฏตามความเป็นจริง เพราะว่าต้องถึงขั้นวิปัสสนาญาณ จึงเป็นขั้นที่ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น ตามความเป็นจริง ด้วยปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความต่างกันของนามธรรมและรูปธรรม แต่ละทางตามปกติ ตามความเป็นจริงได้ ต้องทราบว่าเป็นความปกติ และเป็นเรื่องละความต้องการ ถ้าใครยังมีความต้องการที่จะถึงเร็วๆ หรือรู้มากๆ แสดงว่าผู้นั้น เป็นไปตามกำลังของโลภะเพราะว่าไม่ใช่เรื่องความรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ตามปกติ ในขณะที่อยากรู้ชัดกับขณะที่สติระลึกก็ต่างกันใช่ไหมคะ ขณะใดที่สติปัฏฐานเกิดระลึก ขณะนั้นเป็นขณะที่จะเรี่มหรือจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้นมากน้อยตามกำลังของปัญญาแต่ขณะที่กำลังอยากแสดงว่า ขณะนั้นสติไม่ได้ระลึกลักษณะของสภาพธรรมอะไรเลยเพียงแต่อยากแล้วก็หาหนทางที่จะทำให้รู้ แต่ไม่เข้าใจว่าสภาพธรรมมี ทางรู้คือสติระลึกเท่านั้น แต่ถ้าสติไม่ระลึก ก็เป็นแต่เรื่องของความอยาก แล้วก็อาจจะทำให้ไปแสวงหาทางอื่น มีการเข้าใจผิด และ ยึดมั่นในข้อปฏิบัตินั้นๆ ด้วย
ขออนุโมทนาค่ะ
# "...ที่จะรู้จริงๆ ว่าสภาพรู้ คือ ขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้..."
# "...ขณะนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏแล้ว
# ปกติให้รู้ลักษณะที่ต่างกัน ของขณะที่หลงลืมสติกับขณะที่สติเกิด.."
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณและอนุโมทนาทุกท่านครับ
ขออนุโมทนาครับ