เรียน อาจารย์ทั้งสองท่าน
"อายตนะมีโทษมากเมื่อไม่รู้ แต่มีประโยชน์มากเมื่อสติเกิด" กระผมคิดว่าน่าจะเป็นพจนาของท่านอาจารย์ที่สหายธรรมท่านหนึ่งนำมาโพสต์ ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วยกรุณาอธิบายเพื่อความกระจ่างด้วยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 294
โลกสูตร
[๑๙๖] เทวดาทูลถามว่า เมื่ออะไรเกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้น โลกย่อมชมเชยในอะไร โลกยึดถือซึ่งอะไร โลกย่อมเดือดร้อนเพราะอะไร
[๑๙๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า เมื่ออายตนะ ๖ เกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้น โลกย่อมทำความชมเชยในอายตนะ ๖ โลกยึดถืออายตนะ ๖ นั่นแหละ โลกย่อมเดือดร้อนเพราะอายตนะ ๖
จบ โลกสูตร
ก่อนอื่นก็จะต้องเข้าใจก่อนครับว่า อายตนะ ซึ่งคำว่า อายตนะ หมายถึง ที่ต่อ บ่อเกิด ที่ประชุม เหตุ อายตนะภายใน ๖ และ อายตนะภายนอก ๖ มีดังนี้
อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖
๑. จักขวายตนะ (จักขปสาทรูป)
๒. รูปายตนะ (รูปสี)
๓. โสตายตนะ (โสตปสาทรูป)
๔. สัททายตนะ (รูปเสียง)
๕. ฆานายตนะ (ฆานปสาทรูป)
๖. คันธายนะ (รูปกลิ่น)
๗. ชิวหายตนะ (ชิวหาปสาทรูป)
๘. รสายตนะ (รูปรส)
๙. กายายตนะ (กายปสาทรูป)
๑๐. โผฏฐัพพายตนะ (ดิน ไฟ ลม)
๑๑. มนายตนะ (จิต ๘๙)
๑๒. ธัมมายตนะ (สุขุมรูปื๑๖ เจตสิก ๕๒ นิพพาน)
อายตนะ ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง ที่โลกเดือดร้อนวุ่นวาย เพราะมีการเกิดขึ้นของอายตนะ คือ สภาพธรรมทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ และไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงหลงยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล ตามมาด้วยกิเลสมากมาย และทำบาปต่างๆ จึงมีโทษมาก แต่เมื่ออายตนะเกิดขึ้น คือ สภาพธรรมเกิดขึ้น แล้วก็รู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ขณะนั้น ปัญญาเกิดรู้ความจริง ค่อยๆ ละความไม่รู้ และละคลายกิเลสที่ยึดว่าอายตนะเป็นเรา เป็นสัตว์บุคคล จนดับกิเลสได้ในที่สุด
เพราะฉะนั้น อายตนะ จึงมีโทษ สำหรับสัตว์โลกที่ไม่รู้ความจริงและทำบาปกรรมเพราะความไม่รู้ในอายตนะ และมีประโยชน์กับผู้ที่ปัญญาเกิดรู้ความจริงเพราะเป็นอารมณ์ให้สติและปัญญารู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา จนสามารถทำให้ดับกิเลสได้ในที่สุด ครับ
ขออนุโมทนา
อนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำคัญที่ความเข้าใจตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะกล่าวถึงคำใด ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ แม้จะได้ยินคำว่า อายตนะ ก็ไม่พ้นไปจากขณะนี้ เพราะแต่ละขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์แต่ละขณะๆ นั้น มีสภาพธรรมประชุมกันอยู่ มีอยู่ ณ ขณะนั้น มากทีเดียว ยกตัวอย่าง ขณะที่เห็นขณะเดียว ขณะนั้นมีจิตเห็นเกิดขึ้น มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมีที่เกิดของจิตเห็น และมีสีปรากฏ เป็นอารมณ์ของจิตเห็น ซึ่งแต่ละอย่างๆ ก็เป็นแต่ละอายตนะ แต่ละอายตนะ ล้วนเป็นสภาพธรรมที่มีจริง
ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจ ธรรมะ ที่กำลังมี กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ให้มีชื่อ หรือมีพยัญชนะมาเป็นเครื่องกั้น ขอเพียงเข้าใจในคำนั้นๆ ให้ชัดเจน ไม่สับสน และที่สำคัญ ไม่ขาดการฟังพระธรรมในชีวิตประจำวันจะฟังมาก ฟังน้อย ก็ย่อมจะเป็นประโยชน์ทั้งนั้น เพราะประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย ปัญญาเจริญขึ้น มั่นคงในความเป็นจริงของธรรมเพิ่มขึ้น ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนั้นได้ ซึ่งสภาพธรรมที่กําลังมี กำลังปรากฏในขณะนั้น ก็ไม่พ้นไปจากความเป็นอายตนะ แต่ละอายตนะ ขณะที่เข้าใจถูกเห็นถูก เป็นประโยชน์ แต่ถ้าไม่ได้ศึกษา ไม่มีความเข้าใจ แม้มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ ก็เป็นผู้ไม่รู้ต่อไป อย่างนี้เป็นโทษเพราะสะสมความไม่รู้ต่อไป พอกพูนสังสารวัฏฏ์ให้ยืดยาวต่อไปอีก ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
อายตนะมีโทษมากเมื่อไม่รู้เป็นอกุศล เช่น ติดข้องในสี ทำให้ทำทุจริต ฯลฯ ถ้ารู้ตามความเป็นจริงก็เป็นเหตุให้เกิดกุศลต่างๆ ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนา
อายตนะหรือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หากไม่เรียกชื่อก็ได้ เป็นจริงอย่างนั้นค่ะ ทุกวันนี้มีทุกข์เพราะอายตนะนี่เอง เห็นเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็ดับไป แต่สืบต่อกันเหมือนไม่ดับนี่คือพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินก็โดยนัยเดียวกัน ตลอดจนคิดนึกถ้าไม่มั่นคงอย่างนี้ก็ต้องฟังต่อไป จนความเข้าใจเกิดขั้นการฟัง
กราบอนุโมทนาในการศึกษาพระธรรมค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ