กราบสวัสดีอาจารย์และท่านผู้รู้ครับ
วันนี้มีเรื่องจะเรียนถามครับ เหตุเกิดจากได้สนทนากับท่านผู้หนึ่ง เกี่ยวกับการมีที่พึ่ง คือ "ปัญญาความเข้าใจธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงพระมหากรุณาแสดง เพราะสมบัติทรัพย์สินเงินทอง ไม่สามารถติดตามเราไปได้เลย ตายจากชาตินี้ก็หมด แต่ปัญญาสะสมในจิต ติดตามไปจนถึงวันที่รู้แจ้งอริยสัจธรรม"
ท่านผู้นั้นได้ถามว่า " ก็ในเมื่อ ไม่มีเรา มีแต่ จิต เจตสิก รูป แล้วเราจะไปสนใจทำไมว่า จิตจะมีปัญญาเกิดร่วมด้วยหรือไม่ "
เข้าใจว่า ท่านคงจะคิดทำนองว่า ก็ในเมื่อไม่มีเรา ตายจากชาตินี้แล้วก็สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ชาติใหม่ก็เป็นบุคคลใหม่ จะต้องใส่ใจทำไมว่าจะมีปัญญารึเปล่า จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมรึเปล่า
ด้วยความด้อยปัญญาของผม จึงไม่สามารถอธิบายให้ท่านฟังอย่างกระจ่างได้ กลับเกิดความสงสัยตามไปด้วย จึงขอความกรุณาอาจารย์และท่านผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับ
ขอกราบขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เป็นคำถามที่น่าคิดครับ ในเมื่อ ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคลแล้ว ตายไป ก็ไม่มีใคร มีแต่ธรรม ที่เป็นจิต เจตสิกและรูป ดังนั้นจะทำกุศล อบรมปัญญาทำไม ในเมื่อไม่มีใคร
ฟังดูเผินๆ ก็เหมือนจะใช่ แต่ในความเป็นจริง จะต้องเข้าใจเหตุผลว่า ที่มีแต่ธรรม ธรรม คืออะไร และ จิต เจตสิก รูปมีอะไรบ้าง ก็จะเข้าใจคำตอบนี้ครับ
ชีวิตของสัตว์โลกที่เกิดมา ก็คือ ขณะของจิต เจตสิกและรูปที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่มีเรา ซึ่งในความเป็นจริง ชีวิต ก็มีความสุขและความทุกข์เกิดขึ้นเป็นไป ซึ่งในสังสารวัฏฏ์ที่มีการเกิด ไม่มีทางเลยที่ชีวิตจะมีแต่ความสุข และโดยมาก ก็ต้องไปเกิดในภพภูมิที่นำมาซึ่งความเดือดร้อนทางกายมากมาย มีนรก เป็นต้น และเมื่อเดือดร้อนทางกายแล้ว ก็ย่อมทุกข์ใจต่อมา เพราะมีเหตุ คือ กิเลส เป็นสภาพ ที่ทำให้ต้องทุกข์ใจ และเมื่อมีกิเลส ก็มีการทำกรรม มีกุศลกรรม และ อกุศลกรรม วนเวียนไป คือ ต้องมีการเกิด และ ก็ต้องรับทุกข์ ดังนั้น ทุกคนก็เข้าใจความจริงในข้อนี้ครับว่า การเกิด โดยมากเป็นทุกข์
ผู้ที่มีปัญญา จึงอบรมปัญญา เพื่อดับเหตุให้เกิดทุกข์ หากชีวิตในสังสารวัฏฏ์มีแต่ความสุขโดยส่วนเดียว ก็คงจะไม่มีใครอยากที่จะออกจากทุกข์ พรากออกไปจากสังสารวัฏฏ์ คือ การเกิดเลย ครับ แต่ชีวิต ไม่ใช่เป็นไปอย่างนั้น คือ มีทุกข์โดยส่วนมาก
ดังนั้น ที่กล่าวว่า ในเมื่อมีแต่ จิต เจตสิก รูป ไม่มีเรา จะอบรมปัญญาทำไม
แน่นอนครับว่า มีแต่จิต เจตสิก รูป แต่ความทุกข์กาย และทุกข์ใจทิ่เกิดขึ้น ก็ไม่พ้นจากจิต เจตสิก รูป ดังนั้น แม้ไม่มีเรา แต่ก็ยังจะต้องทุกข์กายมากมาย มี การเกิดในนรก เป็นต้น เพราะ ยังมี จิต เจตสิก รูป หากไม่มีรูปคือ กาย ก็ไม่ต้องทุกข์ แต่มีกาย มีรูป ที่ไม่ใช่เรา ยังต้องทุกข์กาย ครับ และ การทุกข์กาย ก็คือ ทุกขกายวิญญาณ ที่เป็นจิตที่ทำให้ทุกข์กาย ดังนั้น แม้ไม่มีเรา มีแต่จิต เจตสิก รูปที่เกิด ก็ต้องทุกข์กายอยู่ดี เป็นทุกข์ เพราะเป็นจิตประเภทหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นก็ทำให้ทุกข์กาย ครับ และ เพราะมีเจตสิก คือเจตสิกที่ไม่ดี มีโลภะ โทสะ โมหะ จึงทำให้ทุกข์ใจ ที่เสียใจ ทุกข์ใจมากมาย แทบทนไม่ได้ ก็เพราะ เจตสิก ที่ไม่ใช่เรานี่เองเกิดขึ้น เป็นไป ประกอบกับจิตที่ไม่ใช่เราทำให้เกิดความทุกข์ใจ ดังนั้น จะยึดถือว่ามีเรา หรือ ไม่มีเราก็ตาม ก็ต้องทุกข์ใจ หากมีกิเลสเกิดขึ้นในจิตใจที่ไม่ใช่เรา และ ทุกข์ประการต่างๆ มีได้ ก็เพราะมี จิต เจตสิก รูปเกิดขึ้นเป็นไป ครับ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่จะต้องอบรมธรรมที่ตรงกันข้าม กับความทุกข์ โดยการอบรมเหตุให้ละทุกข์ได้ นั่นคือ ละเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ คือ กิเลสประการต่างๆ และ ธรรมอะไร ที่จะละกิเลสได้ นอกเสียจากปัญญา การอบรมปัญญา จึงเป็นไปเพื่อละกิเลสประการต่างๆ ที่จะต้องทำให้ทุกข์ แม้ไม่มีเรา แต่ความเป็นจริง ก็ยึดถือว่ามีเราด้วยกิเลส จึงทุกข์ ดังนั้นการอบรมปัญญาละกิเลส แม้ความเห็นผิดว่ามีเรา จึงทำให้ละทุกช์ใจที่เกิดขึ้น และเมื่อดับกิเลสหมดสิ้น ก็ย่อมไม่มีกิเลสเกิดขึ้นอีก ไม่มีความทุกข์ใจเลย และไม่ต้องเกิดอีกที่เป็นทุกข์กาย ครับ เพราะ มีทุกข์โดยมาก จึงอบรมปัญญา เพื่อละเหตุของทุกข์คือ กิเสประการต่างๆ ซึ่งก็คือ จิต เจตสิกที่เป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ
เพราะ แม้ไม่มีเรา มีแต่ จิต เจตสิก รูป แต่ สภาพธรรมเหล่านั้น นำมาซึ่งทุกข์ประการต่างๆ และจะละทุกข์ ประการต่างๆ ที่จะทำให้ไม่ให้เกิดจิต เจตสิกรูป คือ ละเหตุ คือ กิเลสไม่เกิดขึ้น ละจนหมดสิ้น ด้วยทางเดียว คือ การอบรมปัญญา ครับ และการตายไป ก็คือ จะต้องเกิด หากยังมี กิเลส คือ เจตสิกไม่ดีที่ไม่ใช่เราอยู่ และโดยมากเกิดในอบายภูมิ ที่นำมาซึ่งทุกข์ เพราะมีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิกที่เป็นทุกขกายวิญญาณโดยมาก ที่เป็นธรรม ไม่ใช่เรา แต่จะพ้นทุกข์ได้ ก็ด้วยการอบรมปัญญา ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คุณ daris พระสัทธรรมของอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สาธารณะกับทุกคน ต้องเริ่มทีศรัทธาเข้ามาศึกษาให้รู้จริงๆ ก่อน เพราะทุกสิ่งนั้นมีรายละเอียด ยิ่งในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยนั้น ต้องไม่ใช่คนธรรมดาที่จะเข้าใจในเวลาสั้นๆ ได้ง่าย ศรัทธาที่คุณ daris มีนั้น ก็ยังไม่มั่นคง หนักแน่นเพียงพอที่จะถ่ายทอดให้บุคคลที่ไม่มีศรัทธาในธรรมะของพระพุทธเจ้าฟังและเข้าใจ แต่เพราะ จิตได้สั่งสมมาแล้วนั้น คุณจึงได้มาสานต่อในสิ่งที่เคยมี เพราะเหตุปัจจัย ถ้าเข้าใจแค่ "ไม่มีเรา มีแต่ จิต เจตสิก รูป " เท่านั้น เป็นการรู้ที่หยาบมากๆ แล้วตีความจากความคิดนึกต่อเอาเอง ด้วยความหนาแน่นของกิเลส ก็แค่นั้น แต่ควรที่จะน้อมเข้าไปพิสูจน์ว่า "ทำไมต้อง ๔ อสงไขยแสนกัป "
ขออนุโมทนา
กราบขอบพระคุณอาจารย์ผเดิมและคุณ patikul ที่กรุณาอธิบายให้เข้าใจขึ้นครับ ต่อไปผมจะได้พิจารณามากขึ้นหากมีคนถามเช่นนี้อีก จะได้อธิบายให้เขาเข้าใจขึ้นเหมือนที่ผมได้รับความอนุเคาระห์จากทุกท่านครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง และมีจริงในขณะนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นขณะใดก็ตาม ไม่พ้นไปจากธรรมเลย มีแต่จิต เจตสิก และ รูป เท่านั้น ที่เกิดขึ้นเป็นไปจริงๆ และแต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลย ก่อนที่จะได้เกิดมาเป็นบุคคลนี้ ก็เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน และยังจะต้องเกิดขึ้นเป็นไปอีกนานแสนนานจนกว่าจะได้อบรมเจริญปัญญาจนรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสทั้งปวงถึงความเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานแล้ว ไม่ต้องมีการเกิดอีก เมื่อไม่มีการเกิด ทุกข์ใดๆ ก็ไม่มี ซึ่งจะต้องเป็นปัญญาเท่านั้นถึงจะเข้าใจธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงได้ และปัญญาจะมาจากไหน ถ้าไม่สะสมจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีเป็นส่วนน้อยมากที่จะได้ฟังพระธรรม การได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในภพนี้ชาตินี้ ก็แสดงว่าต้องเป็นผู้เคยได้สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว เคยได้ฟังพระธรรม เคยเห็นประโยชน์ของพระธรรมมาแล้ว จึงสนใจที่จะฟัง ที่จะได้ศึกษาสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกต่อไป ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ได้สะสมเหตุที่ดีมา แม้เสียงของพระธรรมจะอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่ฟัง เพราะเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่หลั่งศรัทธามาที่จะรองรับพระธรรม, ตามความเป็นจริงแล้ว ชีวิตของผู้ที่ยังมีกิเลส ก็เป็นไปกับด้วยอำนาจของกิเลสเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ โลภะ ความติดข้องยินดีพอใจในสิ่งต่างๆ และกิเลสประการอื่นๆ ด้วย ชีวิตก็เป็นไปอย่างปกติ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ แต่ผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม แม้ว่า จะไหลไปด้วยอำนาจของกิเลสบ้าง แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังบ้างในวันหนึ่งๆ มากบ้าง น้อยบ้าง ตามโอกาสที่มี เป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล แม้เพียงเล็กน้อย ก็มีประโยชน์ เป็นประโยชน์แล้วที่ได้ยินได้ฟังในแต่ละครั้ง ซึ่งถ้าไม่เคยสะสมเหตุที่ดีอย่างนี้มาเลย ก็คงจะไม่ฟังอย่างแน่นอน แต่ที่ฟัง ก็เพราะเห็นประโยชน์ เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมมาแล้ว ความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่สูญหายไปไหน บุคคลผู้เป็นบัณฑิต ย่อมรู้ว่า การที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นที่กรุณาอธิบายครับ
ขออนุโมทนาครับ
คำถามนี้ ก็เคยถามตัวเองเหมือนกันครับ. แต่พอเมื่อได้ศึกษาลึกๆ ลงไป ในพระธรรมคำสอน ข้อสงสัยข้อนี้ก็หมดไปครับ. คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นของจริงซึ่งเป็นคำสอนที่ให้รู้ได้ว่า ขณะนี้ก็มีจริงๆ ครับ. ในเมื่อวันนี้ก็มีจริงๆ เมื่อวานนี้ก็มีจริงๆ เพราะฉะนั้น พรุ่งนี้ก็ต้องมีอย่างแน่นอนครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
นามธรรม รูปธรรม มีจริง แต่ตัวตน เรา เขา ไม่มี
ผู้ที่มีปัญญาจะรู้ความจริงของสัจจธรรม และ ไม่ไปยึดติดกับสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ดับแล้ว ต่างกับคนที่ไม่มีปัญญายึดติดสภาพธรรมทั้งหลายว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ค่ะ
สาธุค่ะ ขออนุโมทนา