[เล่มที่ 19] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 324
๔. จูฬเวทัลลสูตร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 19]
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 324
๔. จูฬเวทัลลสูตร
[๕๐๕] ข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในเวฬุวันซึ่งเป็นที่ประทานเหยื่อแก่กระแต ใกล้กรุงราชคฤห์.ครั้งนั้น อุบาสกชื่อวิสาขะเข้าไปยังสํานักนางภิกษุณีธรรมทินนาถวายนมัสการแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว.
[๕๐๖] วิสาขะอุบาสกถาม นางธรรมทินนาภิกษุณีปรารภจตุ-สัจจธรรมว่า พระแม่เจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สักกายะ สักกายะกายของตน กายของตน ดังนี้ ธรรมอย่างไรเล่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่ากายของตน.
นางธรรมทินนาภิกษุณี วิสัชนาว่า วิสาขะอุบาสกผู้มีอายุ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอุปาทานเหล่านี้ คือกองรูปที่ยังมีความยึดมั่น กองเวทนาที่ยังมีความยึดมั่น กองสัญญาที่ยังมีความยึดมั่น กองสังขารที่ยังมีความยึดมั่น กองวิญญาณที่ยังมีความยึดมั่น อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้แล พระองค์ตรัสว่ากายของตน.
วิสาขะอุบาสกอนุโมทนาชื่นชมตามภาษิต ของนางธรรมทินนาภิกษุณีว่าถูกละ พระแม่เจ้า ดังนี้แล้ว จึงถามยิ่งขึ้นไปกับนางธรรมทินนาภิกษุณีว่า พระแม่เจ้า ข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สักกายสมุทัยสักกายสมุทัย ธรรมเป็นที่เกิดขึ้นพร้อมแห่งสักกายะ ธรรมเป็นที่เกิดขึ้นพร้อมแห่งสักกายะ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้.
ธ. ตัณหา อันใดไปพร้อมด้วยความกําหนัด ด้วยอํานาจความเพลิน มักเพลินเฉพาะในภพนั้นๆ ตัณหานั้น ๓ อย่าง กามตัณหาหนึ่งภวตัณ-
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 325
หาหนึ่ง วิภวตัณหาหนึ่ง นี้แลพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ธรรมเป็นที่เกิดขึ้นพร้อมแห่งสักกายะ..
วิ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่ว่า สักกายนิโรธ สักกายนิโรธธรรมเป็นที่ดับแห่งสักกายะ ธรรมเป็นที่ดับแห่งสักกายะ ก็ธรรมสิ่งไรเล่าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าธรรมเป็นที่ดับแห่งสักกายะแม่เจ้า
ธ. ความดับด้วยความคลายเสียโดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้นอันใดความสละ สละคืน ความปล่อยวาง ความพ้นไป ความไม่พัวพันนี้แลพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าสักกายนิโรธ.
วิ. พระแม่เจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า ทางปฏิบัติให้สัตว์ถึงสักกายนิโรธ ทางปฏิบัติให้สัตว์ถึงสักกายนิโรธ ข้อปฏิบัติอย่างไรพระองค์ตรัสว่า ทางปฏิบัติจะให้สัตว์ถึงสักกายนิโรธ แม่เจ้า?
ธ. อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แลคือ ปัญญาเห็นชอบ ความดําริชอบกล่าววาจาชอบ ทําการงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ ความเพียรชอบระลึกชอบ ความตั้งจิตไว้เสมอชอบ อันนี้แล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ทางปฏิบัติจะให้สัตว์ถึงสักกายนิโรธ คุณวิสาขะ.
วิ. พระแม่เจ้า ! อุปาทานก็นั้นแล อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ก็นั้นแล หรืออุปาทานอื่นจากุปาทานขันธ์ทั้ง ๕.
ธ. วิสาขะ อุปาทานก็นั้นแล ปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ก็นั้นแล หาใช่ไม่ อุปาทานอื่นจากอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ก็หาใช่ไม่ คุณวิสาขะความกําหนัดด้วยอํานาจความพอใจในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ อันใด ฉันทราคะนั้นแล เป็นปาทาน ในปัญจุปาทานขันธ์เหล่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 326
[๕๐๗] วิ. พระแม่เจ้า ความเห็นว่ากายแห่งตน ย่อมเป็นอย่างไร
ธ. คุณวิสาขะ ปุถุชชนไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้เป็นผู้ไม่ได้พบเห็นพระอริยเจ้าทั้งหลายไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า มิได้ฝึกใจในธรรมของพระอริยเจ้าแล้ว และเป็นผู้ไม่ได้พบเห็นสัตบุรุษทั้งหลายไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ มิได้ฝึกใจในธรรมของสัตบุรุษ ผู้นั้นย่อมตามเห็นรูป โดยความเป็นตนหรือตามเห็นตนว่า มีรูป พิจารณาเห็นรูปในตน หรือพิจารณาเห็นตนในรูป อนึ่งปุถุชชนผู้ไม่ได้สดับแล้วนั้น ย่อมตามเห็นเวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นคน หรือตามเห็นตนว่า มีเวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ หรือพิจารณาเห็น เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณในตน หรือพิจารณาเห็นตนใน เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ คุณวิสาขะ สักกายทิฏฐิ ย่อมเป็นอย่างนี้.
วิ. พระแม่เจ้า สักกายทิฏฐิ ย่อมไม่มีด้วยอย่างไรเล่า
ธ. คุณวิสาขะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ได้พบเห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ฝึกใจในธรรมของพระอริยเจ้าดีแล้วและเป็นผู้ได้พบเห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ผู้ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ฝึกใจในธรรมของสัตบุรุษดีแล้ว ท่านย่อมไม่ตามเห็นรูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตน หรือไม่ตามเห็นตนว่า มีรูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ หรือไม่ตามเห็นรูป เวทนา สัญญาสังขารวิญญาณในตน หรือไม่ตามเห็นตนในรูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ คุณวิสาขะ. สักกายทิฏฐิ ย่อมไม่มีอย่างนี้.
[๕๐๘] วิ. พระแม่เจ้า ก็ทางมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นธรรมไปพ้นกิเลสเป็นอย่างไร?
ธ. คุณวิสาขะ ก็หนทางมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นอริยะทางเดียวนี้แลคือปัญญาเห็นชอบอย่างหนึ่งความดําริชอบอย่างหนึ่ง เจรจาชอบอย่าง
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 327
หนึ่ง ทําการงานชอบอย่างหนึ่ง เลี้ยงชีวิตชอบอย่างหนึ่ง เพียรชอบอย่างหนึ่งระลึกชอบอย่างหนึ่ง ตั้งจิตไว้ชอบอย่างหนึ่ง.
วิ. อริยมรรคมีองค์๘ เป็นธรรมที่ปัจจัยประชุมแต่งหรือเป็นธรรมที่หาใช่ปัจจัยประชุมแต่งไม่เล่า.
ธ. คุณวิสาขะ อริยมรรคมีองค์๘ นี้เป็นธรรมที่ปัจจัยประชุมแต่ง.
วิ. พระแม่เจ้า ขันธ์ทั้ง ๓ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสงเคราะห์แล้วด้วยอริยมรรคมีองค์๘ หรือว่าอริยมรรคมีองค์๘ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงย่นเข้าถือเอาด้วยขันธ์ทั้ง ๓.
ธ. คุณวิสาขะ ขันธ์ทั้ง ๓ พระผู้มีพระภาคเจ้าจะได้ทรงสงเคราะห์ด้วยอริยมรรคมีองค์๘ หามิได้ ก็แลอริยมรรคมีองค์๘ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสงเคราะห์ด้วยขันธ์ทั้ง ๓ ต่างหากคุณวิสาขะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ ๑ สัมมาอาชีวะ ๑ ธรรมเหล่านี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสงเคราะห์ด้วยกองศีล. สัมมาวายามะ ๑ สัมมาสติ ๑ สัมมาสมาธิ ๑ ธรรมเหล่านี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสงเคราะห์ด้วยกองสมาธิ. สัมมาทิฏฐิ ๑ สัมมาสังกัปปะ ๑ ธรรมเหล่านี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสงเคราะห์ด้วยกองปัญญา.
วิ. พระแม่เจ้า ธรรมอะไรเป็นสมาธิ ธรรมเหล่าไรเป็นนิมิตแห่งสมาธิ? ธรรมเหล่าไรเป็นปริกขารของสมาธิ สมาธิภาวนาอย่างไร
ธ. คุณวิสาขะ ความที่จิตเป็นสภาพมีอารมณ์อันเดียว อันนี้เป็นสมาธิสติปัฏฐาน ๔ เป็นนิมิตแห่งสมาธิสัมมัปปธาน ๔ เป็นปริกขารของสมาธิความเสพธรรมเหล่านั้นเนืองๆ การให้ธรรมเหล่านั้นเจริญ การทําให้ธรรมนั้นมากขึ้น อันนี้เป็นสมาธิภาวนา.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 328
[๕๐๙] วิ. ธรรมที่ได้ชื่อว่าสังขารมีเท่าไร พระแม่เจ้า-
ธ. สังขารทั้งหลายเหล่านี้ ๓ ประการ คือกายสังขาร ๑ วจีสังขาร ๑ จิตตสังขาร ๑ คุณวิสาขะ.
วิ. พระแม่เจ้า ก็กายสังขารเป็นอย่างไรวจีสังขารแลจิตตสังขารเป็นอย่างไร
ธ. คุณวิสาขะ ลมหายใจออกแลหายใจเข้ากลับเป็นกายสังขารวิตกแลวิจาร เป็นวจีสังขาร สัญญา ๑ เวทนา ๑ เป็นจิตตสังขาร.
วิ. พระแม่เจ้า ! เพราะเหตุอะไร ลมหายใจออกแลหายใจเข้าจึงเป็นกายสังขารวิตกและวิจารจึงเป็นวจีสังขาร สัญญาแลเวทนาจึงเป็นจิตตสังขาร
ธ. คุณวิสาขะ สภาพคือลมหายใจออกแลหายใจเข้าเป็นส่วนมีในกาย ติดเนื่องด้วยกาย เพราะฉะนั้นจึงเป็นกายสังขาร. บุคคลย่อมตรึกตรองแล้วจึงเปล่งวาจา เพราะฉะนั้นวิตกแลวิจาร จึงเป็นวจีสังขาร. สภาพทั้ง๒ นี้คือความจําอารมณ์ได้ความรู้แจ้งอารมณ์ ความเสวยอารมณ์เป็นส่วนมีในจิต เพราะเนื่องด้วยจิต เพราะฉะนั้นสัญญาแลเวทนา จึงเป็นจิตตสังขาร
[๕๑๐] วิ. พระแม่เจ้า การเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธย่อมมีด้วยอย่างไร
ธ. คุณวิสาขะ ภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่จะได้คิดว่า เราจักเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธก็ดี ว่าบัดนี้เราจะเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ดังนี้ก็ดี หรือว่าเราสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วดังนี้ก็ดี หามิได้ ก็แต่จิตเช่นนั้นอันนําเข้าไปเพื่อความเป็นเช่นนั้น ท่านได้ให้เกิดแล้วแต่แรกเทียว.
วิ. พระเจ้า เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ ธรรมเหล่าใดย่อมดับไปก่อน กายสังขารดับไปก่อน หรือวจีสังขาร หรือจิตตสังขารดับไปก่อน
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 329
ธ. เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ วจีสังขารย่อมดับไปก่อน ต่อนั้นกายสังขาร ภายหลังจิตสังขาร คุณวิสาขะ.
วิ. พระแม่เจ้า การออกจากสัญญาเวทยินิโรธสมาบัติเป็นอย่างไร?
ธ. คุณวิสาขะ เมื่อภิกษุออกอยู่จากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติจะมีสําคัญหมายรู้ว่า เราจักออกก็ดี เราออกอยู่ก็ดี เราออกแล้วก็ดี จากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติดังนี้หามิได้ ก็แต่จิตเช่นนั้นอันนําเข้าไปเพื่อความเป็นเช่นนั้น ท่านได้ให้เกิดแล้วแต่แรกเทียว.
วิ. เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ธรรมเหล่าใดเกิดขึ้นก่อน กายสังขาร หรือวจีสังขาร หรือจิตตสังขาร พระแม่เจ้า.
ธ. คุณวิสาขะ. เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ จิตตสังขารเกิดขึ้นก่อน ต่อนั้นกายสังขาร แล้ววจีสังขาร.
วิ. พระแม่เจ้า ก็ผัสสะเท่าไรถูกต้องภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว.
ธ. ผัสสะ ๓ ประการคือผัสสะคือรู้สึกว่างหนึ่ง ผัสสะคือรู้สึกไม่มีนิมิตหนึ่ง ผัสสะคือรู้สึกหาที่ตั้งมิได้หนึ่ง เหล่านี้ ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว.
วิ. พระแม่เจ้า. จิตของภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้วย่อมน้อมไปในธรรมสิ่งใด โอนไปในธรรมสิ่งใดโอนไปในธรรมสิ่งไร.
ธ. คุณวิสาขะ. จิตของภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ย่อมน้อมไปในความสงัด โอนไปในความสงัด เงื้อมไปในความสงัด.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 330
[๕๑๑] วิ. พระแม่เจ้า ก็ความเสวยอารมณ์มีเท่าไร.
ธ. คุณวิสาขะ ความเสวยอารมณ์มี๓ ประการเหล่านี้ คือความเสวยอารมณ์เป็นสุขอย่างหนึ่ง ความเสวยอารมณ์เป็นทุกข์อย่างหนึ่ง ความเสวยอารมณ์ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์อย่างหนึ่ง
วิ. พระแม่เจ้า. สุขเวทนาเป็นอย่างไร ทุกขเวทนาเป็นไฉน อทุกขมสุขเวทนาคือสิ่งอะไร.
ธ. คุณวิสาขะ. ความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุขสําราญ ซึ่งเป็นไปในกาย หรือเป็นไปในจิต อันนี้เป็นสุขเวทนา ความเสวยอารมณ์ที่เป็นทุกข์ไม่สําราญ ซึ่งเป็นไปในกาย หรือเป็นไปในจิต อันนี้เป็นทุกขเวทนา ความเสวยอารมณ์ที่มิใช่ความสําราญแลมิใช่ความไม่สําราญ เป็นไปในกาย หรือเป็นไปในจิต อันนี้เป็นอทุกขมสุขเวทนา คุณวิสาขะ.
วิ. พระแม่เจ้า. ก็สุขเวทนาคงเป็นสุขอยู่ได้เพราะอะไร กลายเป็นทุกข์เพราะอะไร.
ธ. คุณวิสาขะ สุขเวทนาคงเป็นสุขเพราะทรงอยู่ กลายเป็นทุกข์เพราะแปรไป ทุกขเวทนาคงเป็นทุกข์เพราะทรงอยู่ กลายเป็นสุขเพราะแปรไป อทุกขมสุขเวทนาเป็นสุขเพราะรู้ชอบ เป็นทุกข์เพราะรู้ไม่ชอบ.
วิ. พระแม่เจ้า อนุสัยอะไรย่อมตามนอนอยูในสุขเวทนาอนุสัยอะไรตามนอนอยู่ในทุกขเวทนา อนุสัยอะไรตามนอนอยู่ในอทุกขมสุขเวทนา.
ธ. คุณวิสาขะ. กามราคานุสัย ย่อมตามนอนอยู่ในสุขเวทนาปฏิมานุสัย ตามนอนอยู่ในทุกขเวทนา อวิชชานุสัย ตามนอนอยู่ในอทุกขมสุขเวทนา.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 331
วิ. พระแม่เจ้า. ก็ราคานุสัยย่อมตามนอนอยู่ในสุขเวทนาทั้งหมดหรือ ปฏิฆานุสัยย่อมตามนอนอยู่ในทุกขเวทนาทั้งสิ้น หรือว่าอวิชชานุสัยย่อมตามนอนอยู่ในอทุกขมสุขเวทนาทั้งปวง.
ธ. คุณวิสาขะ. ราคานุสัย ปฏิฆานุสัยแลอวิชชานุสัยจะได้มาตามนอนอยู่ในสุขเวทนา ทุกขเวทนาแลอทุกขมสุขเวทนา ทั้งหมดหามิได้.
วิ. พระแม่เจ้า ! อะไรอันสุขเวทนาจะพึงละได้ด้วยอะไรจะพึงละได้ด้วยทุกขเวทนา อะไรจะพึงละได้ด้วยอทุกขมสุขเวทนา.
ธ. คุณวิสาขะ. ราคานุสัยจะพึงละได้ด้วยสุขเวทนา ปฏิฆานุสัยจะพึงละได้ด้วยทุกขเวทนา อวิชชานุสัยจะพึงละได้ด้วยอทุกขมสุขเวทนา.
วิ. พระแม่เจ้า. ราคานุสัยจะพึงละเสียในสุขเวทนาทั้งนั้น ปฏิฆานุสัยจะพึงละเสียด้วยทุกขเวทนาทั้งนั้น อวิชชานุสัยจะพึงละเสียด้วยอทุกขมสุขเวทนาทั้งนั้นหรือ
ธ. คุณวิสาขะ ราคานุสัย ปฏิฆานุสัย แลอวิชชานุสัย จะพึงละได้ด้วยสุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนาทั้งนั้น หามิได้.
วิ. พระแม่เจ้า ราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัย พึงละเสียได้ด้วยสุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ทั้งปวงหรือ
ธ. คุณวิสาขะ ราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัยจะพึงละได้ด้วยสุขเวทนา ทุกขเวทนาอทุกขมสุขเวทนา ทั้งปวงหามิได้. ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลายแล้วเทียวได้บรรลุปฐมฌาน อันประกอบด้วยวิตกวิจารมีปิติแลอกุศลเกิดแต่ความสงัดจากนิวรณ์แล้วแลอยู่ ท่านย่อมละราคะด้วยปฐมฌานนั้น, ราคานุสัย จะได้มาตามนอนอยู่ในปฐมฌานนั้นหามิได้. อนึ่งภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาอยู่ว่า เมื่อไรเราจักได้บรรลุอายตนะที่พระอริยะทั้งหลายได้บรรลุแล้วแลอยู่บัดนี้ แล้วแลอยู่
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 332
เหมือนท่าน ดังนี้ เมื่อภิกษุเข้าไปตั้งความรักใคร่ทยานไว้ในวิโมกข์ซึ่งเป็นอนุตรธรรมทั้งหลายอย่างนี้เพราะความรักใคร่ทยานในวิโมกข์เป็นปัจจัยโทมนัสย่อมเกิดขึ้น ท่านละปฏิฆะได้เพราะความทยานในอนุตรวิโมกข์นั้น ปฏิฆานุสัยย่อมไม่ตามนอนอยู่ในความทยานในอนุตรวิโมกข์นั้น คุณวิสาขะอนึ่งภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะละความสุขความทุกข์เสีย เพราะความโสมนัสแลความโทมนัสทั้ง ๒ ดับสูญในก่อนเทียวแล้วได้บรรลุฌานที่๔อันไม่มีสุขไม่มีทุกข์ มีความที่สติเป็นคุณบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่ ท่านย่อมละอวิชชาได้ด้วยจตุตถฌานนั้น อวิชชานุสัยย่อมไม่ตามนอนอยู่ในจตุตถฌานนั้น.
[๕๑๒] วิ. พระแม่เจ้า. ก็สิ่งใดเป็นส่วนเปรียบแห่งสุขเวทนา
ธ. คุณวิสาขะ. ความกําหนัดเป็นส่วนเปรียบแห่งสุขเวทนา
วิ. สิ่งใดเล่า เป็นส่วนเปรียบแห่งทุกขเวทนา พระแม่เจ้า
ธ. คุณวิสาขะ. โทสะกระทบใจเป็นส่วนเปรียบแห่งทุกขเวทนา
วิ. พระแม่เจ้า. สิ่งใดเล่า เป็นส่วนเปรียบแห่งอทุกขมสุขเวทนา
ธ. ความไม่รู้แจ้ง เป็นส่วนเปรียบแห่งอทุกขมสุขเวทนาคุณวิสาขะ.
วิ. พระแม่เจ้า. ก็สิ่งใดเล่า เป็นส่วนเปรียบแห่งอวิชชา.
ธ. คุณวิสาขะ. ความที่ไม่รู้แจ้งชัด เป็นส่วนเปรียบแห่งอวิชชา.
วิ. พระแม่เจ้า. ก็สิ่งใดเล่า เป็นส่วนเปรียบแห่งวิชชา.
ธ. คุณวิสาขะ. ความพ้นกิเลส เป็นส่วนเปรียบแห่งวิชชา.
วิ. พระแม่เจ้า. ก็สิ่งใดเล่าเป็นส่วนเปรียบแห่งวิมุตติ.
ธ. คุณวิสาขะ. พระนิพพาน เป็นส่วนเปรียบแห่งวิมุตติ.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 333
วิ. พระแม่เจ้า ก็อะไรเล่า เป็นส่วนเปรียบแห่งนิพพาน.
ธ. วิสาขะ ท่านล่วงเกินปัญหาเสียแล้ว ไม่อาจถือเอาที่สุดรอบ แห่งปัญหาทั้งหลายได้ ด้วยว่าการประพฤติพรหมจรรย์ก็ย่อมหยั่งลงในพระนิพพาน มีพระนิพพานเป็นที่ถึงในเบื้องหน้า มีที่สุดจบลงเพียงพระนิพพานเท่านั้น. ถ้าหากท่านจํานงอยู่ไซร้ พึงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกราบทูลถามความเรื่องนี้เถิด และพระผู้มีพระภาคเจ้าจะตรัสพยากรณ์แก่ท่านฉันใด ท่านก็พึงทรงจําข้อพยากรณ์นั้นไว้ ฉันนั้นเถิด.
[๕๑๓] ลําดับนั้น วิสาขอุบาสก ชื่นชมอนุโมทนาข้อภาษิตแห่งนางธรรมทินนาภิกษุณีแล้วลุกขึ้นจากอาสนะที่นั่ง ถวายนมัสการทําประทักษิณ นางธรรมทินนาภิกษุณีแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประพับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรแล้ว กราบทูลข้อปุจฉาแลพยากรณ์ที่ตนไต่ถามและข้อความที่นางธรรมทินนาภิกษุณีวิสัชนาทุกประการ ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ แต่เบื้องต้นตลอดถึงที่สุด. ครั้นวิสาขอุบาสกกราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าวิสาขะ. นางธรรมทินนาภิกษุณีเป็นบัณฑิตมีปัญญายิ่งใหญ่ และข้อความอันนี้แม้หากว่าท่านจะถามเราผู้ตถาคต ตถาคต ก็จะพึงพยากรณ์กล่าวแก้ข้อวิสัชนาอย่างนี้ เหมือนข้อความที่นางธรรมทินนาภิกษุณีได้พยากรณ์แล้วไม่แปลกกันเลยอันนี้แลเป็นเนื้อความนั่นแล้ว ท่านจงจําทรงไว้ให้แน่นอนเถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระพุทธพจน์อันนี้แล้ววิสาขอุบาสกก็ได้ชื่นชมเพลินเฉพาะภาษิตแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยประการฉะนี้.
จบจูฬเวทัลลสูตรที่ ๔
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 334
อรรถกถาจุลลเวทัลลสูตร (๑)
จุลลเวทัลลสูตรขึ้นต้นว่า "ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้".ในคําเหล่านั้น คําว่า "วิสาขอุบาสก" ได้แก่ อุบาสกผู้มีชื่ออย่างนั้นว่า "วิสาข". คําว่า "โดยที่ใดนางธรรมทินนา" คือเข้าไปหาถึงที่ซึ่งภิกษุณีชื่อธรรมทินนาอยู่.
วิสาขะนี้คือใครกันเล่า
นางธรรมทินนาเป็นใคร
ทําไมจึงเข้าไปหา
เมื่อนางธรรมทินนายังเป็นคฤหัสถ์ วิสาขะเป็นเจ้าของเรือน (เป็นสามี) เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วทรงหมุนล้อพระธรรมอันประเสริฐ ได้ทรงแนะนํากุลบุตรมียศเป็นต้นเสด็จบรรลุถึงตําบลอุรุเวลา. ในที่นั้นได้ทรงแนะนําชฏิลพันคนแล้วเสด็จดําเนินไปยังกรุงราชคฤห์กับหมู่ภิกษุณีขีณาสพชฏิลเก่า แล้วทรงแสดงธรรมถวายพระเจ้าพิมพิสารมหาราชซึ่งเสด็จดําเนินมาพร้อมกับบริษัทแสนสองหมื่นคนเพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้า. ในแสนสองหมื่นคนที่มาพร้อมกับพระราชาในครั้งนั้นหนึ่งหมื่นคนประกาศตนเป็นอุบาสก. อีกหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นคนพร้อมกับพระเจ้าพิมพิสาร ดํารงอยู่ในโสดาปัตติผล. อุลาสกนี้เป็นคนหนึ่งในจํานวนนั้นเมื่อดํารงอยู่ในโสดาปัตติผลในการเฝ้าครั้งแรกนั่นเอง พร้อมกับคนเหล่านั้นแล้ว ในอีกวันหนึ่งก็ได้ฟังธรรมสําเร็จสกทาคามิผล แต่นั้นมาในภายหลังวันหนึ่ง ได้ฟังธรรมจึงได้ดํารงอยู่ในอนาคามิผล เมื่อได้เป็นพระอนาคามีแล้วมาสู่เรือน ไม่ได้มาอย่างวันเหล่าอื่นที่มองนั่นดูนี่ หัวเราะยิ้มแย้มพลางเดินเข้ามา. หากแต่กลายเป็นคนสงบอินทรีย์มีใจสงบเดินเข้าไป.
(๑) พระสูตร-จูฬเวทัลลสูตร
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 335
นางธรรมทินนาแง้มหน้าต่างพลางมองไปที่ถนนเห็นเหตุการณ์ในการมาของเขาแล้วก็คิดว่า "นี่อะไรกันหนอ" เมื่อยืนที่หัวบันไดทําการต้อนรับเขาพลางก็เหยียดเมื่อยื่นออกไป. อุบาสกกลับหดมือของตนเสีย. นางคิดว่า "เราจงรู้ในเวลารับประทานอาหารมื้อเช้า". แต่ก่อนอุบาสกย่อมรับประทานพร้อมกันกับนาง แต่วันนั้น ไม่ยอมมองนาง ทําราวกะว่าโยคาวจรภิกษุ รับประทานคนเดียวเท่านั้น. นางคิดว่า "เวลานอนเราจะรู้" อุบาสกไม่ยอมเข้าห้องพระศรีนั้น, สั่งให้จัดห้องอื่นให้ตั้งเตียงน้อยที่สมควรแล้วนอน.
อุบาสิกามาคิดว่า "อะไรกันหนอ เขามีความปรารถนาข้างนอก หรือคงถูกผู้ชอบยุแหย่คนใดคนหนึ่งยุให้แตก? หรือว่า เรานี่แหละมีความผิดอะไรๆ " แล้วก็เกิดเสียใจอย่างแรง ตัดสินใจว่า "ตลอดเวลาวันสองวันที่เขาอยู่นี่แหละ จะต้องรู้ให้จนได้" แล้วจึงไปสู่ที่บํารุงเขาไหว้แล้วก็ยืนอยู่. อุบาสกถามว่า "ธรรมทินนา ทําไมจึงมาผิดเวลาล่ะ"
ธรรม. "ค่ะ ลูกเจ้า. ดิฉันมา, ท่านไม่เหมือนคนเก่า, ขอถามหน่อยเถิดค่ะว่า ท่านมีความปรารถนาภายนอกหรือคะ?"
อุ. "ไม่มีหรอก ธรรมทินนา."
ธรรม. "มีใครอื่นเป็นคนยุแหย่หรือคะ"
อุ. "แม้นี้ก็ไม่มี"
ธรรม. "เมื่อเป็นเช่นนั้น ตัวดิฉันเองคงจะมีความผิดไรๆ หรือคะ?"
อุ. "ถึงเธอเอง ก็ไม่มีความผิด"
ธรรม. "แล้วทําไมท่านจึงไม่ทําแม้เพียงการพูดจาปราศรัยตามปกติกับดิฉันเล่าคะ"
เขาคิดว่า "ชื่อว่าโลกุตตรธรรมนี้เป็นภาระหนัก ไม่พึงเปิดเผย แต่ถ้าแลเราไม่บอก, ธรรมทินนานี้จะพึงหัวใจแตกตายในที่นี้เอง" เพื่ออนุเคราะห์
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 336
นางจึงบอกว่า "ธรรมทินนา ฉันฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วได้บรรลุโลกุตตรธรรม, ผู้ได้บรรลุโลกุตตรธรรมนั้นแล้ว การกระทําแบบโลกๆ อย่างนี้ ย่อมไม่เป็นไป, ถ้าเธอต้องการ, ทรัพย์ส่วนของเธอ ๔๐๐ล้าน ส่วนของฉันอีก ๔๐๐ ล้าน รวมแล้วก็มีทรัพย์อยู่ ๘๐๐ ล้าน, เธอเป็นใหญ่ในที่นี้แล้วจงอยู่ดํารงตําแหน่งแม่ หรือตําแหน่งน้องสาวของฉันก็ได้ฉันจะขอเลียงชีพด้วยเพียงก้อนข้าวที่เธอให้, ถ้าเธอจะไม่ทําอย่างที่ว่ามานี้ก็จงเอาโภคะเหล่านี้ไปเรือนตระกูลก็ได้, และก็ถ้าเธอมีความต้องการขายภายนอก ฉันก็จะตั้งเธอไว้ในตําแหน่งน้องสาว หรือตําแหน่งลูกสาวแล้วเลี้ยงดู".
นางคิดว่า "ผู้ชายปกติ จะไม่มีใครพูดอย่างนี้, เขาคงแทงทะลุโลกุตตรธรรมเป็นแน่ก็ผู้ชายเท่านั้นหรือที่พึงแทงทะลุธรรมนั้นได้ หรือแม้เป็นผู้หญิงก็สามารถแทงทะลุได้" จึงพูดกับวิสาขะว่า "ธรรมนั้นผู้ชายเท่านั้นหรือหนอที่พึงได้คะ หรือแม้เป็นผู้หญิงก็สามารถได้ด้วยค่ะ"
อุ. "พูดอะไร ธรรมทินนา ผู้ที่เป็นนักปฏิบัตินั้น ย่อมเป็นทายาทของธรรมนั้น ผู้ที่มีอุปนิสัยก็ย่อมได้รับธรรมนั้น"
ธรรม. "เมื่อเป็นอย่างนั้น ขอให้ท่านยินยอมให้ดิฉันบวชค่ะ"
อุ. "ดีแล้วที่รัก ฉันเองก็อยากจะแนะนําในทางนี้เหมือนกัน แต่ยังไม่รู้ใจเธอจึงไม่พูด" แล้วก็ไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารในทันที ถวายบังคมแล้วก็ได้ยืนอยู่พระราชาตรัสถามว่า "คฤหบดี ทําไมจึงได้มาผิดเวลาล่ะ"
วิ. "ขอเดชะ นางธรรมทินนาพูดว่า "ดิฉันจะบวช".
ร. "นางสมควรจะได้อะไรเล่า"
วิ. "ไม่มีอะไรอื่น, ได้วอทอง และรับสั่งให้จัดตกแต่งพระนครก็เหมาะ ขอเดชะ"
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 337
พระราชาประทานวอทองแล้วรับสั่งให้ตบแต่งพระนครแล้ว.
วิสาขะให้นางธรรมทินนาอาบน้ำหอม ให้ประดับประดาด้วยเครื่องสําอาทุกอย่าง ให้นั่งบนวอทอง แวดล้อมด้วยหมู่ญาติ บูชาด้วยดอกไม้หอมเป็นต้นพลางเหมือนทําแก่พวกชาวกรุงไปสู่สํานักภิกษุณีแล้วเรียนว่า "ขอให้นางธรรมทินนาบวชเถิด แม่เจ้า" พวกภิกษุณี พูดว่า "คฤหบดี กะความผิดอย่างหนึ่งหรือสองอย่าง ก็ควรจะอดทนได้"
วิสาขะจึงเรียนว่า "ไม่มีความผิดอะไรหรอก แม่เจ้า เธอบวชด้วยศรัทธา" ลําดับนั้น ภิกษุณีผู้สามารถรูปหนึ่ง จึงบอกกัมมัฏฐานหมวดห้าแห่งหนัง ให้โกผมแล้วให้บวช. วิสาขะ พูดว่า "แม่เจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระธรรมไว้ดีแล้ว, ท่านจงยินดีเถิด" ไหว้แล้วหลีกไป.
ตั้งแต่วันที่นางบวชแล้ว ลาภสักการะก็เกิดขึ้น เพราะเหตุนั้นนางจึงยุ่งจนหาโอกาสทําสมณธรรมไม่ได้. ทีนั้น พวกพระเถรีที่เป็นอาจารย์และอุปัชฌาย์จึงพานางไปบ้านนอก แล้วก็ให้เรียนกัมมัฏฐานตามชอบใจในอารมณ์สามสิบแปดอย่างเริ่มทําสมณธรรม สําหรับนางลําบากไม่นานเพราะเป็นผู้มีอภินิหารสมบูรณ์.
ความสังเขปมีว่า ท้ายแสนกัปจากภัทรกัปนี้ไป พระศาสดาทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ทรงอุบัติในโลก. ครั้งนั้น นางธรรมทินนานี้ เป็นหญิงคนใช้ในตระกูลหนึ่ง ขายผมของตนแล้วถวายทานแด่พระอัครสาวกชื่อสุชาตเถระแล้วได้ทําความปรารถนาไว้. เพราะถึงพร้อมด้วยอภินิหารแห่งความปรารถนานั้น นางจึงไม่เหนื่อยมาก สองสามวันเท่านั้นเองก็ได้สําเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วมาคิดว่า "เราได้บวชในศาสนาเพราะประโยชน์อันใดเราถึงที่สุดประโยชน์อันนั้นแล้ว, เราอยู่บ้านนอกหาประโยชน์อะไร? พวกญาติเรา
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 338
จะทําบุญ, ถึงภิกษุณีสงฆ์ ก็จะไม่ลําบากด้วยปัจจัย เราจะไปกรุงราชคฤห์"แล้วก็ได้พาภิกษุณีสงฆ์ไปกรุงราชคฤห์นั่นเอง.
วิสาขะได้ฟังว่า "เขาว่านางธรรมทินนามา" จึงคิดว่า "นางบวชแล้วไปบ้านนอกยังไม่นานเลยก็กลับมาเมื่อไม่นานนี่เอง จักเป็นอย่างไรหนอ?"แล้วก็ได้ไปสํานักนางภิกษุณีด้วยการไปเป็นครั้งที่สอง. เพราะเหตุนั้นพระอานนท์จึงว่า "ครั้งนั้นแลวิสาขอุบาสกได้เข้าไปหานางธรรมทินนาถึงที่อยู่" ดังนี้.
คําว่า "ได้กล่าวคํานี้แล้ว" คือได้กล่าวคําเป็นต้นว่า กายของตน" นี้. ทําไมจึงได้กล่าว เล่ากันมาว่า เขามีความคิดอย่างนี้ว่า "การจะถามอย่างนี้ว่า แม่เจ้า ยังยินดีอยู่หรือ หรือไม่ยินดี " ไม่ใช่หน้าที่ของบัณฑิตเราจะน้อมเข้าไปในอุปาทานขันธ์ห้าแล้วถามปัญหา, ด้วยการแก้ปัญหานั่นแหละ เราก็จะทราบว่านางมีความยินดีหรือไม่ยินดี ฉะนั้นจึงได้กล่าว.พอนางธรรมทินนาได้ฟังคํานั้น ไม่กล่าวว่า "คุณวิสาขะ! ดิฉันเพิ่งบวชมาไม่นานจะทราบกายตนหรือกายคนอื่นแต่ไหน" หรือว่า "คุณจงไปหาแล้วถามพระเถรีรูปอื่นเถิด" เมื่อดํารงอยู่ในวิสัยแห่งปัญญาเครื่องแตกฉานแก้ปัญหาอยู่ เหมือนรับของที่เขาฝาก, เหมือนแก้เงื่อนบ่วงข้างหนึ่ง, เหมือนถางทางช้างในที่รก เหมือนแงะกะติ๊บด้วยปลายดาบ จึงกล่าวว่า " คุณวิสาข อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้แล" ดังนี้เป็นต้น.
ในคําเหล่านั้น คําว่า "ห้า" เป็นคํากําหนดนับ คําว่า "อุปาทานขันธ์"ได้แก่ พึงทําให้อรรถกถาอุปาทานขันธ์พิสดารแล้วกล่าวในที่นี้โดยนัยเป็นต้นอย่างนี้ว่า "ขันธ์อันมีอุปาทานเป็นปัจจัย" ก็แลอรรถกถาแห่งอุปาทานขันธ์นั้น ท่านขยายไว้อย่างพิสดารในวิสุทธิมรรคนั่นเหละเพราะฉะนั้นพึงทราบโดยนัยที่ท่านทําให้พิสดารเสร็จแล้วในวิสุทธิมรรคนั้นเถิด. คําที่จะพึงกล่าว
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 339
แม้ในสักกายสมุทัยเป็นต้นนั้น ก็ได้กล่าวไว้เสร็จแล้วในที่นั้นๆ ในหนหลังเหมือนกัน. เมื่อวิสาขะได้ฟังการแก้สัจจะสี่นี้แล้วก็ทราบว่าพระเถรียินดีแล้วเพราะว่าผู้ที่กระสันไม่ยินดีในพระพุทธศาสนานั้น ไม่สามารถจะแก้ปัญหาที่ถามแล้วถามเล่าได้เหมือนเอาแหนบมาถอนผมหงอกทีละเส้นๆ เหมือนขนทรายออกจากเชิงเขาสิเนรุ. ก็เพราะสัจจะสี่อย่างนี้ปรากฏแล้วในพระพุทธศาสนาเหมือนพระจันทร์และพระอาทิตย์ปรากฏในโลก ด้วยว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ดีพระมหาเถระทั้งหลายก็ดี ที่อยู่ในท่ามกลางบริษัทย่อมประกาศแต่สัจจะเท่านั้น, ภิกษุสงฆ์ก็ให้พวกกุลบุตรเรียนปัญหาว่า ""อะไรชื่อว่าสี่? อริยสัจจ์สี่" ตั้งแต่วันที่บวชไปวิสาขะคิดว่าและนางธรรมทินนานี้ก็เป็นบัณฑิตที่ฉลาด ดํารงอยู่ในความเป็นผู้ฉลาดในอุบายได้นําเอามาแล้วก็สามารถกล่าวแม้ด้วยแนวที่ได้ฟังมาแล้ว ฉะนั้นใครๆ จึงไม่สามารถจะรู้ความแทงตลอดสัจจะของนางด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้. ทั้งเราก็อาจรู้ได้ด้วยการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการจําแนกสัจจะ เมื่อจะพลิกกลับไปยังสัจจะทั้งสองที่กล่าวไว้ในหนหลังทําให้ลี้ลับแล้วถามว่า "ข้าพเจ้าจะขอถามปัญหาที่มีเงื่อนงํา" จึงกล่าวคําว่า "แม่เจ้า! อุปาทานนั้นแหละ หนอแล" ดังนี้เป็นต้น.
ในการแก้ปัญหานั้นว่า "คุณวิสาขะ ! นั้นแลไม่ใช่อุปาทานเลย"มีคําอธิบายว่า นั้นไม่ใช่เป็นอุปาทานเลยแต่เป็นขันธ์ ๕ ต่างหาก เพราะเป็นสภาพที่เป็นเอกเทศจากกองสังขารของอุปาทาน และอุปาทานก็ไม่ใช่นอกไปจากอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕. เพราะถ้าสิ่งนั้นแลพึงเป็นอุปาทานไซร้สภาพมีรูปเป็นต้น ก็พึงเป็นอุปาทานไปด้วย. ถ้าอุปาทาน พึงเป็นสิ่งนอกเหนือ (ไปจากรูปเป็นต้น) ไซร้ก็จะเป็นขันธวิมุตติ (หลุดไปจากขันธ์) เหมืออนุสัยเหมือนบัญญัติ และเหมือนนิพพานที่ไม่ประกอบกับจิตในสมัยอื่น. หรือไม่ก็จะต้องบัญญัติขันธ์ที่ ๖ เพิ่มอีก, เพราะฉะนั้น นางธรรมทินนาจึงแก้อย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 340
เมื่อได้ฟังคําพยากรณ์ของนาง, วิสาขะก็ถึงความแน่ใจว่า "นางนี้ได้บรรลุความแทงตลอดแล้ว" แล้วคิดว่า "ผู้ที่ไม่ใช่ขีณาสพไม่พบเห็นไม่เป็นผู้รู้จักทําให้พิสดาร เปรียบปานแกว่งประทีปพันดวงให้สั่นไหว จะไม่สามารถแก้ปัญหาที่มิดชิดปิดซ่อนไว้ ไตรลักษณ์นํามาถึงลึกซึ้งเห็นปานนี้ได้เลย, แต่นางธรรมทินนานี้ถึงที่สุด (คือพระนิพพาน) ได้ที่พึ่งในศาสนาบรรลุปัญญาแตกฉาน ถึงความกล้าหาญ กําจัดภพเป็นขีณาสพผู้ยิ่งใหญ่สามารถไขปัญหาที่ข้าถาม" จึงคิดว่า บัดนี้ เราจะถามปัญหา ที่แสนจะสลับซับซ้อนกะนางอีก" เมื่อจะถามปัญหานั้นจึงกล่าวคําว่า "อย่างไรเล่า แม่เจ้า" ดังนี้ เป็นต้น.
ในการแก้ปัญหานั้น คําเป็นต้นว่า "ผู้ไม่ได้ฟังแล้ว" ท่านได้ให้พิสดารแล้วในมูลปริยายสูตรนั่นเอง. คําว่า " ย่อมพิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นต้น" คือบุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมพิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตน ย่อมพิจารณาเห็นรูปและตนเป็นสิ่งไม่ใช่สองว่า "รูปอันใดฉันก็อันนั้น ฉันอันใดรูปก็อันนั้น". เปรียบเหมือนเมื่อตะเกียงน้ำมันกําลังลุกไหม้อยู่ เปลวอันใดสีก็อันนั้น สีอันใดเปลวก็อันนั้น แม้ฉันใด, ฉันนั้นนั่นแล บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมพิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตนแล พิจารณาเห็น...ไม่ใช่สองอย่าง" ดังนี้ฉะนั้นจึงชื่อว่าย่อมเห็นด้วยวิปัสสนาในทิฏฐิว่า "รูปเป็นตัวตน" อย่างนี้. หรือย่อมพิจารณาเห็นว่าตัวตนมีรูป จึงถือเอารูปว่าเป็นตนแล้วย่อมพิจารณาเห็นตนมีรูป เหมือเห็นต้นไม้มีร่ม หรือเห็นว่ารูปในตนจึงถือเอาอรูปนั่นแหละว่าเป็นตน จึงชื่อว่าย่อมพิจารณาเห็นรูปในตนเหมือนดมกลิ่นในดอกไม้ หรือเห็นว่าตนในรูปจึงถือเอาอรูปนั่นแหละว่าเป็นตนจึงชื่อว่าย่อมพิจารณาเห็นตนนั้นในรูปเหมือนเห็นแก้วมณีในขวด แม้ในการพิจารณาว่าเวทนาโดยความเป็นตนเป็นอาทิ ก็มีทํานองอย่างเดียวกันนั่นเอง ในคําเหล่านั้น คําว่า "ย่อมพิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตน" ท่านกล่าว
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 341
ถึงรูปล้วนๆ เท่านั้นว่าเป็นตน. ท่านกล่าวถึงอรูปว่าเป็นตนในที่เจ็ดแห่งเหล่านี้คือ ย่อมพิจารณาเห็นตนมีรูป, หรือรูปมีในตน, หรือตนมีในรูป, เวทนาโดยความเป็นตน, สัญญา สังขาร วิญญาณโดยความเป็นตน ท่านกล่าวถึงรูปและอรูปที่ปนกันว่าเป็นตนในที่สิบสองแห่งด้วยอํานาจแห่งขันธ์ทั้งสามในจํานวนสี่ขันธ์อย่างนี้ คือ ตนมีเวทนา เวทนามีในตน ตนมีในเวทนาดังนี้.
ในคําว่า ย่อมพิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตน ย่อมพิจารณาเห็นเวทนา สัญญา สังขารวิญญาณโดยความเป็นตน" นั้น ท่านแสดงความเห็นว่าขาดสูญในที่ห้าแห่ง, ในแห่งที่เหลือ ท่านแสดงความเห็นว่าเที่ยง. ด้วยประการฉะนี้ในที่นี้จึงมีภวทิฏฐิ (ความเห็นว่ามีว่าเป็น) ๑๕ อย่าง. วิภวทิฏฐิ (ความเห็นว่าไม่มีไม่เป็น) ๕ อย่าง. ในบทว่า "ไม่พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตน" นี้, ได้แก่ย่อมไม่พิจารณาว่า "ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน" ด้วยอาการทุกอย่างคือย่อมไม่พิจารณาเห็น ๕ อย่างเหล่านี้ ด้วยแบบอย่างใดอย่างหนึ่ง อันได้แก่ไม่พิจารณาเห็นรูปว่าเป็นตน แต่พิจารณาเห็นว่า "ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน ไม่พิจารณาเห็นตนมีรูป ฯลฯไม่พิจารณาเห็นตนในวิญญาณ" ดังนี้. เมื่อพระเถรีแก้ปัญหาข้อแรกอย่างนี้ว่า "คุณวิสาข ! ความเห็นว่ากายของตน ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้แล" ดังนี้ ด้วยถ้อยคํามีประมาณเพียงเท่านี้อยู่, คําว่า "ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ การไปก็มี การมาก็มีการูปและการมาก็มี วัฏฏะ (วงจรแห่งชีวิต) ก็ย่อมหมุนไป" ก็เป็นอันว่านางได้ทําวัฏฏะให้ถึงที่สุดแล้วแสดงไว้. เมื่อแก้ปัญหาข้อหลังว่า "คุณวิสาขะ ความเห็นว่ากายตน ย่อมไม่มีด้วยอาการอย่างนี้แล" ดังนี้อยู่, คําว่า ด้วยเหตุเพียงเท่านี้การไปก็ไม่มี การมาก็ไม่มี การไปและการมาก็ไม่มี วัฏฏะก็หยุดหมุน" ก็เป็นอันว่านางได้ทําวิวัฏฏะให้ถึงที่สุดแสดงไว้แล้ว. ปัญหาว่า "แม่เจ้า ก็แลทางประกอบด้วยองค์ ๘ อันประเสริฐเป็นไฉน" พึงเป็นอันพระเถรีพึงถามกลับแล้วจึงตอบว่า "อุบาสก! คุณถามถึงทางเบื้องต่ําแล้ว ทําไมในที่นี้จึงมา
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 342
ถามถึงทางอยู่อีกล่ะ" ก็พระเถรีนั้นกําหนดความประสงค์ของอุบาสกนั้นได้ ก็เพราะความที่ตนฉลาดเป็นบัณฑิต. นางคิดว่า "อุบาสกนี้คงจะถามถึงทางขั้นต่ําด้วยอํานาจปฏิบัติแต่ในที่นี้ คงอยากจะถามถึงทางนั้นแห่งสังขตะ (ถูกปรุง) อสังขตะ (ไม่ถูกปรุง) โลกิยะ (แบบโลกๆ) โลกุตตระ (อยู่เหนือโลก, ข้ามขึ้นจากโลก) อันท่านจัดรวมเข้าไว้ (สงเคราะห์) และไม่จัดรวมเข้าไว้ (ไม่สงเคราะห์) ฉะนั้นอุบาสกถามข้อใดๆ มาก ก็แก้ข้อนั้นๆ โดยไม่ถามกลับเลย.
ในคําเหล่านั้น คําว่า "ถูกปรุง" ความว่า ถูกคิด ถูกตรึก ถูกตรองถูกรวบรวมไว้ ถูกให้เกิด อันผู้เข้าถึง พึงเข้าถึง. ในคําว่า "ก็แลคุณวิสาขะหนทางประกอบด้วยองค์ ๘ อันประเสริฐ ท่านจัดรวมเข้าไว้ด้วยขันธ์ ๓" นื้มีคําอธิบายว่า เพราะทางมีประเทศ ขันธ์ทั้ง ๓ ไม่มีประเทศ ฉะนั้นท่านจึงเอาทางนี้มารวมเข้าด้วยขันธ์๓ ที่ไม่มีประเทศ เหมือนเอากรุงมารวมเข้ากับราชย์ เพราะความที่ทางมีประเทศ. ในองค์มรรคเหล่านั้น องค์มรรค ๓ มีการพูดจาถูกต้องเป็นต้น เป็นศีลแท้ฉะนั้นจึงยกเอาองค์มรรคเหล่านั้นมารวมเข้ากับกองศีล เพราะมีชาติเสมอกัน. ถึงแม้ในบาลีท่านยกเอามาแสดงทําเหมือนสัตตมีวิภัติว่า " ในกองศีล" ดังนี้ก็จริงถึงดังนั้น ก็พึงทราบใจความด้วยอํานาจตติยาวิภัติ. ส่วนสมาธิในองค์มรรคอีก ๓มีความพยายามชอบเป็นต้น โดยธรรมดาของตนแล้วย่อมไม่สามารถจะแนบแน่นได้เพราะเป็นภาวะที่เลิศเดี่ยวในอารมณ์แต่เมื่อความเพียรกําลังทําหน้าที่ประคับประคองให้สําเร็จ ความระลึกก็กําลังทําหน้าที่เคล้าคลึงให้สําเร็จอยู่, สมาธิกลายเป็นธรรมชาติที่ได้อุปการะ จึงจะสามารถให้แนบแน่นได้.
ในเรื่ององค์มรรคนั้น มีคําเปรียบเทียบดังต่อไปนี้ :-
เหมือนอย่างว่า ในสามเกลอที่ชวนกันเข้าไปสู่อุทยานด้วยตั้งใจว่า "พวกเราจะเล่นงานนักขัตฤกษ์ (งานประจําปี) คนหนึ่งพบต้น
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 343
จัมปาดอกบานนี้ ยกมือขึ้นไปก็ไม่อาจเก็บได้ ทีนั้น คนที่สองจึงก้มหลังให้เขา แม้เขาได้ยินบนหลังของคนที่สองนั้น ก็ยังเด็ดไม่ได้, ทีนั้น อีกคนหนึ่งก็ยื่นจงอยบ่าให้เขา. เมื่อเขาได้ยืนบนหลังของคนหนึ่งแล้วเหนี่ยวจงอยบ่าของอีกคนหนึ่ง จึงเก็บเอาดอกไม้มาประดับตามชอบใจแล้วเล่นงานนักขัตฤกษ์ฉันใด. พึงเห็นคําที่นํามาเปรียบนี้ ฉันนั้น คือธรรมทั้งสามมีความ พยายามชอบเป็นต้นซึ่งเกิดร่วมกัน เหมือนสามเกลอ ที่เข้าสวมด้วยกัน, อารมณ์เหมือนต้นจัมปาดอกบานสะพรั่ง สมาธิ ที่ไม่สามารถจะถึงฌานได้เพราะเป็นภาวะที่เด่นเดี่ยวในอารมณ์โดยลําพังตนเอง เหมือนคนที่ถึงแม้จะได้ยกมือขึ้นแล้วก็ยังไม่อาจเก็บได้, ความพยายามชอบเหมือนเกลอที่น้อมหลังให้, ความระลึกเหมือนเกลอที่ยืนให้จับจงอยบ่า. สมาธิที่เมื่อวิริยะกําลังทําหน้าที่ประดับประคองให้สําเร็จ (และ) สติก็กําลังทําหน้าที่คลึงเคล้าให้สําเร็จอยู่อย่างนี้, ได้อุปการะแล้ว ก็ย่อมอาจบรรลุฌานได้เพราะความเป็นภาวะที่โดดเด่นในอารมณ์เหมือนคนนอกนี้ที่ยืนบนหลังของคนหนึ่งในสามคนนั้นและจับจงอยบ่าของอีกคนหนึ่งจึงสามารถเด็ดดอกไม้ได้ตามพอใจ ฉันใดก็ฉันนั้น. เพราะฉะนั้น ท่านจึงเอาสมาธิมารวมเข้ากับกองสมาธิตามกําเนิดของตน. ส่วนความพยายามชอบและความระลึกชอบ ท่านก็เอามารวมเข้ากับกิริยา.
แม้ปัญญาในความเห็นชอบและความดําริชอบ ก็ไม่สามารถตัดสินอารมณ์ว่า "ไม่เที่ยงไม่ทนทาน ไม่ใช่ตัวตน" ตามลําพังตนเองได้. แต่เมื่อวิตก อาโกฏเฏตฺวาค่อยๆ ทุบแล้วทะยอยส่งให้ ก็สามารถอย่างไร? เหมือนอย่างว่า เจ้าหน้าที่การเงิน เอาเหรียญกษาปณ์มาวางบนมือ แม้อยากจะสํารวจดูทุกส่วน ก็ไม่สามารถจะพลิกด้วยสายตาได้เลย ต่อเมื่อใช้ข้อนิ้วมือพลิกแล้วจึงจะสามารถสํารวจดูได้ทุกด้าน ฉันใด, ปัญญาก็ฉันนั้นเหมือนกันไม่สามารถชี้ขาดอารมณ์ด้วยอํานาจแห่งความไม่เที่ยง เป็นต้นตามลําพังของตนเองได้แต่จะสามารถชี้ขาดแต่อารมณ์ที่วิตกซึ่งมีความยกขึ้นเป็นลักษณะ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 344
มีความจดจ่อและจอดจับเป็นหน้าที่ เหมือนกําลังจับทุบ และกําลังจับพลิกแล้วส่งมาให้เท่านั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงจัดเอาแต่สัมมาทิฏฐิเท่านี้มารวมไว้กับกองปัญญาเพราะมีกําเนิดเท่ากัน แม้ในที่นี้. ส่วนสัมมาสังกัปปะก็ถูกจับมารวมเข้าเพราะการกระทํา. มรรคย่อมถึงซึ่งการรวมเข้ากับของทั้งสามนี้ด้วยประการฉะนี้. เพราะเหตุนั้น นางธรรมทินนาจึงได้กล่าวว่า "คุณวิสาขะ ก็แล ทางอันมีองค์แปดอันประเสริฐ ท่านสงเคราะห์ด้วยขันธ์ทั้ง ๓"ดังนี้.
บัดนี้ เมื่อจะถามถึงสมาธิในมรรคที่เป็นไปเพียงขณะจิตเดียว พร้อมกับเครื่องหมายรวมทั้งเครื่องเครา จึงกล่าวคําเป็นต้นว่า "เป็นไฉนเล่าแม่เจ้า?"
ในการแก้ปัญหานั้น ท่านว่า สติปัฏฐาน ๔ คือสัมมาสติ เกิดขึ้นแล้วด้วยอํานาจยังหน้าที่สี่อย่างในมรรคขณะให้สําเร็จ. สัมมาสตินั้น กลายเป็นเครื่องหมายเพราะอรรถว่าเป็นปัจจัยแห่งสัมมาสมาธิ. สัมมัปปธาน ๔คือตัววิริยะเกิดขึ้นแล้วด้วยอํานาจการทําหน้าที่สี่อย่างให้สําเร็จ, วิริยะนั้นกลายเป็นเครื่องเครา (ปริขาร) เพราะอรรถว่าแวดล้อม. คําว่า "ของธรรมเหล่านั้นแล" คือของธรรมที่ประกอบพร้อมด้วยมรรคเหล่านั้นในคําเป็นต้นว่า "การเสพคุ้น" คือ ท่านกล่าวความเสพคุ้นที่เป็นไปเพียงหนึ่งขณะจิต. ส่วนผู้ชอบพูดเคาะเล่น ก็พูดว่า "ชื่อว่ามรรคที่เป็นไปเพียงหนึ่งขณะจิต ไม่มี. ถ้าพึงเป็นอย่างนั้นจะมีการอบรมมรรคเสียตั้งเจ็ดปี เพราะคําว่า "เจ็ดปี" ฝ่ายพวกกิเลสเมื่อจะขาดก็ย่อมขาดไปด้วยญาณทั้งเจ็ดโดยฉับพลัน". พึงพูดกะเขาว่า "นําพระสูตรมาซิ" แน่นอนเมื่อเขามองไม่เห็นทางอย่างอื่น ก็จะนําข้อความว่า "การเสพคุ้น การอบรม การทําให้มากธรรมเหล่านั้นแลอันได" นี้แลมา กล่าวว่า "ย่อมเสพคุ้นด้วยจิตดวงอื่น อบรมด้วยจิตดวงอื่น ทําให้มากก็ด้วยจิตดวงอื่น. ต่อจากนั้น เขาพึงถูกกล่าวว่า "ก็แล
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 345
สูตรนี้ มีใจความที่พึงรู้ (แนะนํา) มีใจความที่นําไปอย่างไร?" เขาก็จะกล่าวต่ออีกว่า "สูตรมีใจความอย่างที่นําไปนั่นแหละ" อย่างมากของเขาก็เท่านี้. เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็จะมีแต่ความเสพคุ้นเท่านั้น แม้ทั้งวันอย่างนี้คือจิตดวงหนึ่งเกิดเสพคุ้นอยู่แล้ว จิตอีกดวงหนึ่งเกิดเสพคุ้นอยู่แล้ว แม้อีกดวง ก็เกิดเสพคุ้นอยู่แล้ว, จะมีการอบรมแต่ที่ไหน? จะมีการทําให้มากแต่ที่ไหน? หรือเมื่อดวงหนึ่งก็เกิดอบรมอยู่แล้วดวงอื่นอีกก็เกิดอบรมอยู่แล้วอีกดวงหนึ่งก็เกิดอบรมอยู่แล้วดังนี้ แบบนี้ทั้งวันก็จะมีแต่การอบรมเท่านั้น. ความเสพคุ้นจะมีแต่ที่ไหน? การทําให้มากจะมีแต่ที่ไหน? หรือดวงหนึ่งก็เกิดทําให้มากอยู่แล้ว ดวงอื่นอีกก็เกิดทําให้มากอยู่แล้ว อีกดวงหนึ่งก็เกิดทําให้มากขึ้นอยู่แล้ว ดังนี้ แบบนี้ทั้งวันก็จะมีแต่การทําให้มากเท่านั้น จะมีการเสพคุ้นแต่ที่ไหน? จะมีการอบรมแต่ที่ไหน? อีกอย่างหนึ่ง เขาอาจจะกล่าวอย่างนี้ว่า "ย่อมเสพคุ้นด้วยจิตดวงหนึ่งย่อมอบรมด้วยจิตสองดวง ย่อมทําให้มากด้วยจิตสามดวง หรือย่อมเสพคุ้นด้วยจิตสองดวง ย่อมอบรมด้วยจิตสามดวง ย่อมทําให้มากด้วยจิตหนึ่งดวง หรือย่อมเสพคุ้นด้วยจิตสามดวงย่อมอบรมด้วยจิตหนึ่งดวง ย่อมทําให้มากด้วยจิตสองดวง". เขาพึงถูกกล่าวว่า "ท่านอย่ากล่าวเลอะเทอะว่า "ผมก็ได้สูตรนะ" ธรรมดาผู้จะแก้ปัญหาต้องอยู่ในสํานักอาจารย์เล่าเรียนพุทธพจน์ให้ทราบอรรถรสแล้ว จึงค่อยพูด ก็การเสพคุ้นนี้ ประกอบด้วยขณะจิตเดียว การอบรมก็ประกอบด้วยขณะจิตเดียว และการทําให้มาก ก็ประกอบด้วยขณะจิตเดียว ธรรมดาโลกุตรมรรคที่ให้ถึงความสิ้นไปที่มีหลายขณะจิตไม่มี มีแต่ที่ประกอบด้วยขณะจิตเดียวเท่านั้น" พึงทําให้เขายอมรับดังที่ว่ามานี้. ถ้าเขายอมรับ ก็ยอมรับไป, ถ้าไม่ยอมรับ ก็พึงส่งไปว่า "จงไปเข้าวัดแต่เช้าแล้วดื่มข้าวต้มเสีย".
ในคําว่า "สังขารมีกี่อย่างเล่า แม่เจ้า?" นี้ วิสาขะถามถึงอะไรถามว่าบุคคลดับสังขารเหล่าใดแล้ว จึงเข้านิโรธ ข้าพเจ้าขอถามสังขารเหล่า
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 346
นั้น เมื่อพระเถรีได้ทราบความประสงค์ของเขาด้วยประการนั้นนั่นแลบอกกายสังขารเป็นต้น ในสังขารจํานวนมากมีปุญญาภิสังขารเป็นต้นที่มีอยู่จึงกล่าวคําเป็นต้นว่า "คุณ สังขารเหล่านี้มีสามอย่าง".
ในสังขารเหล่านั้น ชื่อกายสังขารเพราะอันกายย่อมปรุง คือย่อมให้เกิดเพราะเป็นสภาพที่เกี่ยวข้องกับกาย, ชื่อวจีสังขารเพราะถูกปรุงคือถูกให้เกิด โดยวาจา เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวาจา, ชื่อว่าจิตตสังขารเพราะถูกปรุง คือถูกให้เกิดโดยจิต เพราะเป็นของที่เกี่ยวข้องกับจิต. วิสาขะย่อมถามถึงอะไรในคําว่า "เป็นไฉนเล่า แม่เจ้า" นี้ ย่อมถามว่า "สังขารเหล่านี้มันปนกันและกัน มัวไม่แจ่ม แจ้งยาก". จริงอย่างนั้นที่เรียกเจตนา ๒๐ อย่างอันเป็นกุศลอกุศลอย่างนี้ คือ เจตนาในกามาวจรกุศล ๘ อย่าง เจตนาในอกุศล ๒ อย่าง ที่ยังบุคคลให้ถึงการยึดการถือการหลุดการปล่อยในกายทวารบ้าง ลมหายใจออกและลมหายใจเข้าบ้างว่า เป็นกายสังขาร.ท่านเรียกเจตนา ๒๐ อย่าง มีประการที่ได้กล่าวแล้วซึ่งยังการไหวแห่งคางให้ถึงวจีเภทในวจีทวารบ้าง วิตกวิจารบ้างว่าเป็นวจีสังขาร, ท่านเรียกเจตนา ๒๐ อย่างนั้น กุศลและอกุศลที่เกิดแก่ผู้ยังไม่ถึงการสั่นไหวในกายทวารและวจีทวารแล้วนั่งคิดอยู่ในที่สงัดธรรมสองอย่างคือ สัญญาและเวทนาบ้างว่าเป็นจิตตสังขารทีเดียว ธรรมเหล่านี้ มันปนเปกัน มัว ยังไม่แจ่ม แจ้งยาก. ข้าพเจ้าขอให้ทําธรรม เหล่านั้นให้แจ่งแจ้งแล้วบอก".
ในบทว่า "ก็ทําไมเล่า แม่เจ้า " นี้วิสาขะย่อมถามถึงใจความของบทแห่งชื่อกายสังขารเป็นต้น. ในการแก้ปัญหานั้น ผู้ศึกษาพึงทราบความหมายนี้ว่า กายสังขารชื่อว่าอาศัยกาย เพราะเกี่ยวข้องกับกาย เมื่อมีกาย ก็มีกายสังขาร เมื่อกายไม่มี กายสังขารก็มีไม่ได้ จิตตสังขารชื่อว่าอาศัยจิต เพราะเกี่ยวข้องกับจิต เมื่อมีจิต ก็มีจิตตสังขาร เมื่อจิตไม่มีจิตตสังขารก็มีไม่ได้. บัดนี้เมื่อวิสาขะจะถามเพื่อความรู้ว่า "สมาบัตินี้ ย่อมใช้สัญญาเวทยิต
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 347
นิโรธหรือหนอ หรือไม่ใช้ หรือเป็นผู้สะสมความชํานิชํานาญในสัญญาเวทยิตนิโรธหรือหนอ หรือไม่ใช่ หรือเป็นผู้สะสมความชํานิชํานาญในสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น หรือไม่ต้องเป็นผู้สะสมความชํานิชํานาญ?" จึงกล่าวคําเป็นต้นว่า "แม่เจ้า ทําอย่างไรเล่าจึงจะเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติได้?" ในการตอบปัญหานั้น ข้อความมีว่า ท่านได้กล่าวถึงเวลาแห่งเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติด้วยบททั้ง ๒ ว่า "เราจักเข้า" หรือ "เรากําลังเข้า".ท่านกล่าวนิโรธภายในด้วยบทว่า "เข้าแล้ว". เวลาที่มีจิต ท่านก็กล่าวด้วยบทก่อนทั้งสองเหมือนกันนั้น เวลาที่ไม่มีจิต ท่านกล่าวด้วยบทหลัง. คําว่า "จิตก็เป็นอันอบรมไว้แล้วอย่างนั้นมาก่อนทีเดียว" ได้แก่จิตที่มีกาลเวลาเป็นเครื่องกําหนดเป็นอันได้อบรมแล้วว่า "ตลอดเวลาเท่านี้ เราจะเป็นไม่มีจิต ในกาลที่มีระยะเวลาเป็นเครื่องกําหนดก่อนนิโรธสมาบัติ. คําว่า "ย่อมน้อมบุคคลนั้นได้เข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น" คือย่อมน้อมบุคคลที่อบรมจิตไว้แล้วอย่างนี้นั้นเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น ได้แก่เพื่อความเป็นผู้ไม่มีจิต. คําว่า "วจี-สังขารย่อมดับไปก่อน" คือวจีสังขารย่อมดับจากสังขารที่เหลือในฌานที่สองก่อน. คําว่า "ต่อจากนั้นกายสังขาร" คือต่อจากนั้นกายสังขารก็ดับไปในฌานที่สี่. คําว่า "ต่อจากนั้นจิตตสังขาร" คือต่อจากนั้นจิตตสังขารจึงดับไปภายในนิโรธ. ท่านกล่าวเวลาภายในนิโรธด้วยสองบทว่า "เราจักออก" หรือ "เรากําลังออก" เวลาแห่งผลสมบัติท่านกล่าวด้วยบทว่า "ออกแล้ว" เวลาเป็นผู้ไร้จิต ท่านกล่าวด้วยสองบทก่อนเหมือนกันนั้น. ด้วยบทหลังท่านกล่าวเวลาที่มีจิต. คําว่า "จิตก็เป็นอันได้อบรมมาแล้วอย่างนั้นก่อนทีเดียว" คือจิตที่มีเวลาเป็นเครื่องกําหนดเป็นอันได้อบรมแล้วว่า ตลอดเวลาเท่านี้เราจะเป็นผู้ไร้จิต ในกาลที่มีระยะเวลาเป็นเครื่องกําหนดไว้ก่อนเข้าถึงนิโรธสมาบัติแล้ว ต่อจากนั้นจึงจะเป็นผู้มีจิต. คําว่า "ย่อมน้อมบุคคลนั้นได้เข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น" คือย่อมน้อมบุคคลที่อบรมจิตไว้แล้วอย่างนี้นั้นเข้าไป
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 348
เพื่อความเป็นอย่างนั้น คือเพื่อความเป็นผู้มีจิต. เวลาแห่งการเข้านิโรธท่านกล่าวไว้ในหนหลัง ในที่นี้ ท่านกล่าวเวลาแห่งการออกจากนิโรธด้วยประการฉะนี้.
บัดนี้เป็นวาระเพื่อจะกล่าวนิโรธกถา ฉะนั้น นิโรธกถาจึงเป็นเรื่องที่ต้องกล่าว
ก็แหละนิโรธกถานั้น ท่านได้ตั้งแม่บทกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคทุกแง่ทุกมุมว่า "ปัญญาที่ความชํานิชํานาญอบรมไว้ด้วยความรํางับสังขารสาม เพราะความเป็นผู้ประกอบด้วยกําลังสอง, ด้วยความประพฤติในญาณสิบหก, ด้วยความประพฤติในสมาธิเก้าปัญญาที่ความชํานิชํานาญอบรมแล้วและญาณในการเข้าถึงนิโรธ". เพราะฉะนั้น ผู้ต้องการทราบพึงถือเอาตามแบบที่กล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคนั้นเถิด. ที่ชื่อว่า นิโรธนี้ได้แก่อะไรเล่า?ได้แก่ความไม่เป็นไปแห่งการพิจารณาขันธ์ทั้งสี่. ถ้าจะมีการถามว่า "เมื่อเป็นเช่นนั้น เข้าสมาบัติกันเพื่ออะไร? ก็ตอบว่า เข้าสมาบัติกันเพื่อสิ่งนี้คือ "เรากลุ้มในความเป็นไปแล้วในสังขาร จะเป็นผู้ไม่มีจิตสักเจ็ดวันอยู่สบาย นิโรธนี้นั้นชื่อว่าเป็นนิพพานในปัจจุบัน". คําว่า "จิตสังขารย่อมเกิดขึ้นก่อน" คือจริงอยู่เมื่อจะออกจากนิโรธ จิตในผลสมาบัตินั้นย่อมเกิดขึ้นก่อน. ท่านหมายเอาสัญญาและเวทนาที่ประกอบด้วยผลสมาบัตินั้นจึงกล่าวว่า "จิตตสังขารย่อมเกิดขึ้นก่อน" คําว่า "ต่อจากนั้น กายสังขาร" คือต่อจากจิตตสังขารนั้นไป กายสังขารย่อมเกิดขึ้นในสมัยแห่งภวังค์. ถามว่า "ก็ผลสมาบัติไม่ยังลมหายใจออกและลมหายใจเข้าให้ตั้งขึ้นหรือ? ตอบว่าให้ตั้งขึ้น แต่ผลสมาบัติของผู้นี้ประกอบด้วยฌานที่สี่อยู่ ผลสมาบัตินั้นจึงทําให้ลมหายใจออกและลมหายใจเข้าตั้งขึ้นไม่ได้. หรือเพราะเหตุนี้หรือ? ผลสมาบัติจะประกอบด้วยฌานที่หนึ่ง หรือประกอบด้วยฌานที่สอง ที่สาม หรือที่สี่ก็
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 349
ตามทีเถิด ลมหายใจออกและลมหายใจเข้าของภิกษุออกจากสมาบัติที่สงบ ย่อมเป็นสิ่งที่พูดไม่ได้ (คือมีเหมือนไม่มี) หรือ? ความที่ลมหายใจออกและลมหายใจเข้านั้นเป็นสิ่งที่พูดไม่ได้ พึงทราบด้วยเรื่องพระสัญชีวเถระ :-
ความสังเขปมีว่า เมื่อพระสัญชีวเถระออกจากสมาบัติแล้วก็เดินลุยไปบนถ่านที่เขากระจายไว้เหมือนดอกทองกวาว แม้แต่เพียงแสงในจีวรก็ไม่ลุกไหม้ แม้แต่เพียงอาการแห่งไออุ่น ก็ไม่ได้มี. พวกคนก็กล่าวกันว่า นี่แหละผลของสมาบัติ. ลมหายใจออกสละลมหายใจเข้าของภิกษุผู้ออกจากสมาบัติที่สงบ ย่อมเป็นสิ่งที่พูดไม่ได้ ดังที่ว่ามานี้แล ฉะนั้นพึงทราบว่า คํานี้ท่านกล่าวด้วยสมัยแห่งภวังค์เท่านั้น.
คําว่า "จากนั้น ก็วจีสังขาร" คือ ถัดจากกายสังขารนั้นมา วจี-สังขารก็ย่อมเกิดขึ้นในเวลาแห่งการใช้ที่สําเร็จมาจากกิริยาจิตเป็นไป ถามว่า ภวังค์จะให้วิตกวิจารตั้งขึ้นไม่ได้หรือ? ตอบว่าให้ตั้งขึ้นได้, แต่วิตกและวิจารยังแต่ที่ประกอบด้วยภวังค์นั้น ยังแต่งวาจาไม่ได้ เพราะฉะนั้น คํานั้น ท่านกล่าวตามเวลาใช้ที่สําเร็จนาจากกิริยาจิตที่เป็นไปแล้วเท่านั้น.สมาบัติเป็นต้นว่า "ผัสสะเป็นของสูญ" ก็พึงกล่าวโดยผัสสะที่มีคุณและโดยอารมณ์. ผลสมาบัติชื่อว่าเป็นของสูญโดยผัสสะที่มีคุณก่อน เพราะท่านประสงค์เอาผัสสะที่เกิดพร้อมกับสุญญตผลสมาบัตินั้นจึงกล่าวคําว่า "ผัสสะเป็นของสูญ" แม้ในอนิมิตตผลสมาบัติและอัปปณิหิตผลสมาบัติก็ทํานองอย่างเดียวกันนี้เหมือนกัน ก็โดยอารมณ์พระนิพพานที่ชื่อว่าสูญ ก็เพราะสูญจากราคะเป็นต้น. ชื่อว่าไม่มีเครื่องหมายเพราะไม่มีเครื่องหมายแห่งราคะเป็นต้น เพราะไม่มีที่ตั้งแห่งราคะเป็นต้น จึงชื่อว่าไม่มีที่ตั้ง. ผัสสะในผลสมาบัติที่ทําพระนิพพานซึ่งเป็นของสูญให้เกิดเป็นอารมณ์ชื่อว่าเป็นของสูญ. แม้ในอนิมิตตผลสมาบัติและอัปปณิหิตผลสมาบัติก็ทํานองอย่างเดียวกันนี้เหมือนกัน. ยังมีถ้อยคําที่จะต้องเพิ่มเติมอย่างอื่นอีก คือแม้วิปัสสนาท่านก็
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 350
เรียกว่า สุญญตา อนิมิตตา อัปปณิหิตา ในข้อเหล่านี้ภิกษุใดกําหนดสังขารโดยความไม่เที่ยงเห็นโดยความไม่เที่ยงแล้ว ย่อมออกโดยความไม่เที่ยง.วิปัสสนาที่พาไปถึงการออกของภิกษุนั้น ย่อมชื่อว่าอนิมิตตาวิปัสสนา.ภิกษุใดกําหนดสังขารโดยความเป็นทุกข์ เห็นโดยความเป็นทุกข์แล้วย่อมออกโดยความเป็นทุกข์ วิปัสสนาที่พาไปถึงการออกของภิกษุนั้น ย่อมชื่อว่าอัปปณิหิตาวิปัสสนา. ภิกษุใด กําหนดสังขารโดยความเป็นของไม่ใช่ตน เห็นโดยความเป็นของไม่ใช่ตนแล้วย่อมออกโดยความเป็นของไม่ใช่ตน วิปัสสนาที่พาไปถึงการออกของภิกษุนั้น ย่อมชื่อว่า สุญญตาวิปัสสนา. มรรคในอนิมิตตวิปัสสนาของภิกษุนั้น ชื่ออนิมิตตมรรค. ผลของอนิมิตตมรรค ชื่ออนิมิตตผล เมื่อถูกต้องผัสสะที่เกิดพร้อมกับอนิมิตตผลสมาบัติก็เรียกว่าอนิมิตต์ ย่อมถูกต้อง แม้ในอัปปณิหิตะและสุญญตะ ก็มีทํานองอย่างเดียวกันนี้เหมือนกัน. ด้วยคําที่จะต้องเพิ่มเติมที่ได้กล่าวไว้แล้ว ผัสสะก็พึงมาถึงการเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งว่า "สุญญตผัสสะก็ได้ อนิมิตตผัสสะก็ได้ หรืออัปปณิหิตผัสสะก็ได้, เพราะฉะนั้นจึงควรกล่าวสมาบัติเป็นต้นโดยผัสสะที่มีคุณและโดยอารมณ์. เพราะเมื่อกล่าวอย่างนี้คําก็จะเข้ากันได้ว่า "ผัสสะสามอย่างย่อมถูกต้อง". พระนิพพานชื่อวิเวกในคําเป็นต้นว่า "โน้มไปในวิเวก" ที่ว่าโน้มไปในวิเวกก็เพราะโน้มคือโอนไปในวิเวกนั้น. ที่ชื่อว่าชะโงกไปในวิเวก. ในคําว่า "ชะโงกไปในวิเวก" ก็เพราะมาจากทีอื่นแล้ว ก็ตั้งอยู่เป็นเหมือนกับเข้าไปหาวิเวกนั้น. ที่ชื่อว่ามีวิเวกเป็นเงื้อม ก็เพราะว่าตั้งอยู่เหมือนกับจะตกไปหาวิเวกนั้น.
บัดนี้เมื่อวิสาขะจะถามว่า "ข้าพเจ้าจะขอถามเวทนาที่ภิกษุดับได้แล้วจึงเข้านิโรธสมาบัติได้" จึงกล่าวคําเป็นต้นว่า "แม่เจ้า ก็เวทนามีเท่าไร?"
ความสุขที่เป็นไปในทวารห้าในคําเป็นต้นว่า "หรือเป็นไปในทางกาย" ชื่อกายิกสุข, ที่เป็นไปในมโนทวาร พึงทราบว่าชื่อเจตสิกสุข. ในเรื่อง
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 351
ของเวทนานั้น คําว่า "สุข" เป็นคําชี้แจงสภาพ. คําว่า "ความชื่นใจ" เป็นคําสําหรับใช้แทนกันแสดงถึงความเอร็ดอร่อยแห่งสุขนั้นนั่นเอง. คําว่า"ความเสวย" เป็นคําทั่วไปแก่เวทนาทุกอย่างที่แสดงความเป็นคือความเสวย แม้ในบทที่เหลือก็เป็นทํานองเดียวกันนี้แหละ. ในคําเป็นต้นว่า "ความคงอยู่เป็นสุข ความแปรปรวนเป็นทุกข์" มีความหมายว่าความมีแห่งสุขเวทนาชื่อว่าสุข, ความไม่มีชื่อว่าทุกข์, ความมีแห่งทุกขเวทนาชื่อว่าทุกข์,ความไม่มีชื่อว่าสุข, ความรู้อทุกขมสุขเวทนาชื่อว่าสุข, ความไม่รู้ชื่อว่าทุกข์.ในคําว่า "อนุสัยอะไร ย่อมนอนเนื่อง" นี้ วิสาขะย่อมถามถึงอนุสัยว่าอนุสัยเป็นไฉน ย่อมนอนเนื่องคือเป็นเหมือนกะว่าผู้นอนเพราะอรรถว่ายังละไม่ได้. คําว่า "คุณวิสาข กามราคานุสัยไม่ใช่จะนอนเนื่องในสุขเวทนาทั้งหมดดอก" ความว่าราคานุสัยไม่ใช่นอนเนื่องในสุขเวทนาทั้งหมดราคานุสัยนั้นที่ยังละไม่ได้ในสุขเวทนาทุกอย่างก็ย่อมไม่ปรารภสุขเวทนาทุกชนิดแล้วเกิดขึ้น. ในที่ทุกแห่ง ก็มีทํานองอย่างเดียวกันนี้. คําว่า "พึงละอะไร?"นี้เป็นคําถามถึงการละ นางธรรมทินนา แก้คําถามสองข้อด้วยคําตอบนี้แหละในบทว่า "ย่อมละราคะด้วยฌานที่หนึ่งนั้น" นี้.ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ข่มกามราคานุสัยได้แล้วย่อมเข้าถึงฌานที่หนึ่ง ทําราคานุสัยที่ฌานข่มไว้แล้วให้เป็นอันข่มไว้แล้วอย่างนั่นแหละแล้วเจริญวิปัสสนาจึงถอนได้เด็ดขาดด้วยอนาคามิมรรค. ราคานุสัยนั้นแม้จะถูกละได้ด้วยอนาคามิมรรคแล้ว ก็ยังชื่อว่าย่อมนอนเนื่องกับฌานที่หนึ่ง เพราะความที่มันถูกฌานที่หนึ่งนั้นข่มไว้อย่างนั้น. เพราะฉะนั้น นางธรรมทินนาจึงกล่าวว่า "ราคานุสัยย่อมไม่นอนเนื่องในสุขเวทนานั้น".
บทว่า ตทายตนํ ตัดเป็น ตํ อายตนํ ความว่า พระอรหัตตผลอันชื่อว่าเป็นที่พึ่ง เพราะเป็นที่โล่งใจอย่างยิ่ง. คําว่า "อันยอดเยี่ยมด้วยประการฉะนี้" คือผู้ตั้งความปรารถนาในพระอรหัตตผลที่ได้ชื่อว่า "วิโมกข์อันยอดเยี่ยม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 352
ด้วยประการฉะนี้". คําว่า "โทมนัสย่อมเกิดขึ้นเพราะความกระหยิ่มเป็นปัจจัย" คือย่อมเกิดโทมนัส อันเป็นมูลให้ความปรารถนาตั้งขึ้น แต่โทมนัสอันเป็นมูลให้ความปรารถนาตั้งขึ้นนั้นจะไม่เกิดขึ้นเลย, แต่ท่านกล่าวว่า โทมนัสที่มีความไม่ได้เป็นมูลเมื่อจะเกิดแก่ผู้ปรารถนาแล้วไม่ได้ ก็ย่อมเกิดขึ้น เพราะความกระหยิ่มเป็นปัจจัย. บางท่านกล่าวว่า "ถึงแม้ว่าชื่อว่าโทมนัสในความปรารถนาแล้วไม่ได้นั้นเป็นอกุศลโดยส่วนเดียวก็จริง ถึงอย่างนั้นก็พึงเสพโทมนัสนี้ไว้. โทมนัส (นี้) ควร" จริงอยู่พวกโยคี (พระนักปฏิบัติ) ย่อมรับเอาข้อปฏิบัติ ระยะ ๓ เดือนบ้างระยะ ๖ เดือนบ้างระยะ ๙ เดือนบ้าง. ในโยคีเหล่านั้น ผู้ที่รับเอาข้อปฏิบัตินั้นๆ ไปแล้วก็สืบต่อพยายามอยู่ด้วยคิดว่า"ภายในเวลาที่กะไว้นี่แหละเราคงจะบรรลุพระอรหัตตผล (แต่) ก็ไม่สามารถบรรลุตามเวลาที่กะไว้ จึงเกิดความเสียใจอย่างรุนแรงขึ้นมา สายน้ำตาหลั่งไหลเหมือนของพระมหาปุสสเถระชาวบ้านระเบียง.
มีเรื่องเล่ากันมาว่า พระเถระบําเพ็ญวัตรเดินไปเดินมาตั้ง ๑๙ ปีเมื่อท่านผูกใจว่า "คราวนี้เราจะยึดพระอรหัตตผลให้ได้" ว่า "คราวนี้เราจะปวารณาชนิดวิสุทธิปวารณา" แล้วกระทําสมณธรรมอยู่นั่นแหละ ๑๙ปีผ่านไป ครั้นมาถึงวันปวารณา ก็ไม่มีวันของผู้หลุดพ้น เพราะหยาดน้ำตาของพระเถระ แต่ในปีที่ ๒๐ จึงได้บรรลุพระอรหัตตผล.
ในคําว่า "ย่อมละปฏิฆะด้วยโทมนัสนั้น" นี้มีความว่า จะเอาโทมนัสไปละปฏิฆะไม่ได้ จะเอาปฏิฆะนั่นเองไปละปฏิฆะก็ไม่ได้ หรือการเอาโทมนัสไปละโทมนัส ก็ย่อมไม่ได้. แต่ภิกษุนี้ รับเอาข้อปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในข้อปฏิบัติมีระยะ ๓ เดือนเป็นต้น แล้วพิจารณาอย่างนี้ว่า "ภิกษุดูซิเธอมีฐานะเลวด้วยศีล ด้วยวิริยะ หรือด้วยปัญญา? ศีลของเธอหมดจดดีแล้วมิใช่หรือ?" เธอประคองวิริยะดีแล้วมิใช่หรือ? หรือปัญญาเป็นธรรมชาติที่กล้าย่อมนําไป?" เมื่อท่านพิจารณาอย่างนี้ก็เห็นว่า " บัดนี้ เราจะไม่ยอมให้
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 353
โทมนัสนี้เกิดขึ้นอีก จึงทําความเพียรให้หนักหน่วง ภายใน ๓ เดือน ภายใน ๖ เดือน หรือไม่ก็ภายใน ๙ เดือน ก็ย่อมถอนปฏิฆะด้วยอนาคามิมรรคได้เด็ดขาด ตามแบบนี้ ชื่อว่าท่านย่อมใช้ปฏิฆะนั่นเองละปฏิฆะ (และ) ใช้โทมนัสนั่นเองละโทมนัส. ในคําว่า "ปฏิฆานุสัย ย่อมไม่นอนเนื่องในโทมนัสนั้น" นั้น มีความว่า ในโทมนัสแบบนั้น ปฏิฆานุสัย ย่อมไม่นอนเนื่อง ปฏิฆานุสัยก็ไม่ปรารภโทมนัสนั้นเกิดขึ้น, ปฏิฆานุสัยเป็นอันถูกละได้ในโทมนัสนั้น. คําว่า "ย่อมละอวิชชาได้ด้วยอรหัตตมรรคนั้น" คือ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ข่มอวิชชานุสัยได้แล้ว ก็เข้าสู่ฌานที่สี่ ทําอวิชชานุสัยที่ถูกฌานข่มไว้แล้วให้เป็นอันถูกข่มไว้อย่างนั้นนั่นแหละแล้วจึงเจริญวิปัสสนาแล้วจึงจะถอนได้เด็ดขาดด้วยอรหัตตมรรค. ถึงแม้อวิชชานุสัยนั้นถูกอรหัตตมรรคละได้แล้วก็ตาม ก็ยังชื่อว่านอนเนื่องด้วยฌานที่สี่เพราะความที่ถูกฌานที่สี่นั้นข่มได้แล้ว เพราะเหตุนั้น นางธรรมทินนาจึงกล่าวว่า "อวิชชานุสัยย่อมไม่นอนเนื่องในอรหัตตมรรคนั้น" ดังนี้.
บัดนี้เมื่อจะถามคําถามที่เป็นปฏิภาค, (ส่วนปรับกัน) วิสาขะจึงกล่าวคําเป็นต้นว่า "แม่เจ้า ! ก็แห่งสุขเวทนา" ในการแก้ปัญหานั้น (พึงทราบข้อความดังต่อไปนี้) เพราะทุกข์เป็นข้าศึกของสุข และสุขเป็นข้าศึกของทุกข์,ฉะนั้น ท่านจึงกล่าววิสภาคปฏิภาคไว้ในเวทนาทั้งสอง ส่วนอุเบกขาเป็นธรรมชาติที่ถูกความมืดครอบงํา ยากที่จะชี้แจง เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวทั้งสภาคและปฏิภาคในที่นี้ว่า แม้อวิชชาก็เช่นนั้นแท้. ก็แหละ บุคคลย่อมกระทําความมืดคืออวิชชา ในที่มีประมาณเท่าใด ก็ย่อมบรรเทาความมืดคืออวิชชาในที่มีประมาณเท่านั้น ฉะนั้นจึงกล่าวทั้งวิสภาคและปฏิภาคไว้ในที่นี้. ในคําว่า "แห่งอวิชชาและคุณ" นี้ คือและท่านกล่าวทั้งสภาคและปฏิภาคว่า "ธรรมทั้งสองแม้นี้ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ" ท่านกล่าวทั้งสภาคและปฏิภาคเพราะอรรถว่าไม่มีอาสวะ เพราะอรรถว่าเป็นโลกุตตระและ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 354
เพราะอรรถเป็นอัพยากฤตในบทนี้ว่า "คุณ แห่งวิมุตติแล" ในคําว่า "คุณข้ามไป" นี้มีความว่าคุณเป็นผู้ข้ามปัญหาไป คําว่า "คุณไม่สามารถถือเอาที่สุดแห่งปัญหาได้" ความว่าคุณไม่สามารถถือเอาประมาณแห่งการกําหนดปัญหาได้ จึงถามปฏิภาคของอัปปฏิภาคธรรม พระนิพพานนี้เป็นอัปปฏิภาคธรรม ที่ไม่มีใครสามารถเพื่อจะกระทําปฏิภาคพร้อมกับธรรมบางอย่างคือ สีเขียว สีเหลือง หรือสีแดง แล้วแสดงได้ และคุณก็ย่อมถามพระนิพพานนั้นด้วยความประสงค์นี้เสียด้วย ก็ด้วยถ้อยคําเพียงเท่านี้ อุบาสกผู้จะถามปฏิภาคแห่งอัปปฏิภาคธรรมนี้ จึงเป็นอันบุคคลพึงทราบว่า ย่อมเป็นผู้เริ่มผิดในคําถามที่มีส่วนปรับแม้ทุกข้อ เหมือภิกษุที่ได้สลากภัตในเรือนที่เจ็ด แล้วเดินเลยไปตั้งเจ็ดหลังคาเรือนมายืนที่ประตูเรือนที่แปด เริ่มผิดไปตั้งเจ็ดหลังคาเรือน ไม่รู้ (อะไรเลย) ฉันใด ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. คําว่า "หยั่งลงสู่พระนิพพาน" คือเข้าไปภายในพระนิพพาน คือเข้าไปตามพระนิพพาน. คําว่า "มีพระนิพพานเป็นเบื้องหน้า" คือพระนิพพานเป็นที่มาข้างหน้า คือเป็นที่ไปข้างหน้าของเขา อธิบายว่า เขาไม่ไปที่อื่นจากพระนิพพานนั้น. ชื่อว่า มีพระนิพพานเป็นที่สุด เพราะพระนิพพานเป็นที่สุดของเขา.ผู้ที่ถึงพร้อมด้วยความเป็นบัณฑิต ชื่อที่ "บัณฑิต" หมายความว่า ผู้ฉลาดในธาตุฉลาดในอายตนะ ฉลาดในปฏิจจสมุปบาท ฉลาดในฐานะและอฐานะคําว่า "ผู้มีปัญญายิ่งใหญ่" ได้แก่ผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาที่สามารถกําหนดถือเอาอรรถอันยิ่งใหญ่ ธรรมอันยิ่งใหญ่ นิรุตติอันยิ่งใหญ่ ปฏิภาณอันยิ่งใหญ่. คําว่า "อย่างที่ธรรมทินนานั้น" คือ แม้ฉันเองก็จะพึงพยากรณ์อย่างที่ภิกษุณีธรรมทินนาพยากรณ์แล้วเหมือนกันนั่นเอง.
ก็แล เพราะพระดํารัสเพียงเท่านี้ พระสูตรนี้ก็กลายเป็นภาษิตของพระชินเจ้าไป. ไม่ใช่ภาษิตของสาวกเหมือนอย่างว่า หนังสือที่ราชเลขานุการเขียนแล้วยังไม่จัดเป็นพระราชสาส์น ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้ประทับพระราช
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 355
ลัญชกร พอประทับพระราชลัญชกรของในหลวงแล้ว หนังสือย่อมชื่อว่าเป็นพระราชสาส์น ฉันใด, พระสูตรนี้ได้กลายเป็นภาษิตของพระชินเจ้าด้วยการจรดแล้วตรัส เพราะความที่พระความคือพระดํารัสของพระชินเจ้าดวงนี้ได้ประทับแล้วว่า "ฉันเองก็จะพึงพยากรณ์อย่างนั้นเหมือนกัน แม้ฉะนั้นเหมือนกัน. คําที่เหลือทุกแห่ง ตื้นแล้วแล ด้วยประการฉะนี้.
จบ อรรถกถาจุลลเวทัลลสูตรที่ ๔