เรียนถามเกี่ยวกับความไม่รู้ และโลก
โดย natural  16 เม.ย. 2556
หัวข้อหมายเลข 22766

เรียนถามจากข้อความใน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖

[๖๔] ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ความไม่รู้ในส่วนสุดเบื้องต้น ความไม่รู้ในส่วนสุดเบื้องปลาย ความไม่รู้ทั้งในส่วนสุดเบื้องต้นและส่วนสุดเบื้องปลาย ความไม่รู้ในธรรมทั้งหลายอันอาศัยกันและกันเกิดขึ้น คือความเป็นปัจจัยแห่งธรรมนี้ ชื่อว่า "อวิชา" ความไม่รู้ ความไม่เห็น ความไม่ถึงพร้อมเฉพาะ ความไม่ตามตรัสรู้ ความไม่ตรัสรู้พร้อม ความไม่แทงตลอด ความไม่ถึงพร้อม ความไม่ถึงรอบ ความไม่เห็นเสมอ ความไม่พิจารณา ความไม่ทำให้ประจักษ์ ความรู้ได้ยาก ความเป็นคนเขลา ความไม่รู้ทั่วพร้อม ความหลงใหล ความมัวเมา อวิชชาเป็นโอฆะ อวิชชาเป็นโยคะ อวิชชาเป็นอนุสัย อวิชชาเป็นเครื่องกลุ้มรุม อวิชชาเป็นข่ายโมหะ อกุศลมูล ชื่อว่า " อวิชชา " ในอุเทศว่า อวิชฺชาย นิวุโต โลโก นี้เรียกว่า อวิชชา. โลกนรก โลกเดียรัจฉาน โลกเปตติวิสัย โลกมนุษย์ โลกเทวดา ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก โลกนี้ โลกหน้า พรหมโลกกับทั้งเทวโลก นี้เรียกว่า โลก. โลกอันอวิชชานี้ ปิดบัง ปกคลุม หุ้มห่อ ครอบไว้ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า โลกอันอวิชชาหุ้มห่อไว้.

๑. ความไม่รู้ในส่วนสุดเบื้องต้น ความไม่รู้ในส่วนสุดเบื้องปลาย ความไม่รู้ทั้งในส่วนสุดเบื้องต้นและส่วนสุดเบื้องปลาย หมายความว่าอย่างไร

๒. ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก มีลักษณะเป็นอย่างไร



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 16 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความไม่รู้ในส่วนสุดเบื้องต้น ความไม่รู้ในส่วนสุดเบื้องปลาย ความไม่รู้ทั้งในส่วนสุดเบื้องต้นและส่วนสุดเบื้องปลาย หมายความว่าอย่างไร

อวิชชา ความไม่รู้ ซึ่งไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงโดยนัยต่างๆ ก็แบ่งได้หลายนัย ทั้งไม่รู้ในอริยสัจ ๔ ไม่รู้ในความเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน เพราะ อาศัยอวิชชา จึงหุ้มห่อโลก ไม่ให้รู้ความจริง และ อวิชชายังแสดงโดยนัยที่ว่า ความไม่รู้ในส่วนสุดเบื้องต้น ความไม่รู้ในส่วนสุดเบื้องปลาย ความไม่รู้ทั้งในส่วนสุดเบื้องต้นและส่วนสุดเบื้องปลาย

ส่วนสุดเบื้องต้น ก็คือ เพราะ มีอวิชชาจึงมีการทำกรรม และมีการเกิดขึ้นของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น อวิชชา ความไม่รู้ ก็ทำให้ไม่รู้ในส่วนสุดเบื้องต้น ก็คือ ตัวอวิชชาเอง และ ส่วนสุดเบื้องปลาย ก็คือ ส่วนสุดเบื้องปลายในปฏิจจสมุปบาท มีชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ เป็นต้น เพราะไม่รู้ส่วนเบื้องต้น คือ อวิชชา และ ส่วนเบื้องปลาย คือ ทุกข์ประการต่างๆ ก็ไม่สามารถดับทุกข์ และไม่พ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ได้เลย ครับ

และ จากคำถามที่ว่า ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก มีลักษณะเป็นอย่างไร

ก่อนอื่นเข้าใจความหมายของ โลก ว่าคืออะไร

โลกคือสภาพธรรมที่แตกสลาย แตกดับไป โลกตามความเป็นจริงตามที่พระพุทธองค์ ทรงแสดงไม่ได้หมายถึงโลกที่เราอยู่ที่เป็นสัณฐานกลม หรือเป็นโลกที่มีสิ่งต่างๆ มี ต้นไม้ ภูเขา สิ่งต่างๆ อาศัยบนโลกใบนี้ นั่นไม่ใช่โลกที่เป็นสัจจะ ความจริง แต่เป็นโลกที่สมมติกันขึ้นมาว่าเป็นโลกครับ ที่เรียกว่าสัตวโลกและโอกาสโลก แต่โลกในวินัยของพระอริยเจ้าที่เป็นสัจจะความจริง หมายถึงสภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นและดับไป แตกสลายไป เรียกว่าโลก ก็ต้องเข้าใจว่าอะไรคือสภาพธรรมที่มีจริง ต้นไม้ ภูเขา สัตว์ บุคคล ไม่ใช่สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงคือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม นามธรรมก็เช่น จิต รูปธรรมก็เช่น ตา เสียง เป็นต้น สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมนี้เองที่เป็นโลก เพราะเกิดขึ้นและดับไป แตกสลายไป เสียงเกิดขึ้นและก็ดับไป จิตเกิดขึ้นและดับไป

การที่บัญญัติว่ามีโลกใบนี้ มีเรา มีสิ่งต่างๆ หากไม่มีสภาพธรรมที่มีจริง คือนามธรรมและรูปธรรม ไม่มีจิต ไม่มีสี ไม่มีเสียง ไม่มีสภาพธรรมอะไรเลย ก็ไม่มีการเกิดขึ้นของสิ่งใด และเมื่อไม่มีการเกิดขึ้นของสิ่งใด โลกนี้ก็ไม่มี ไม่มีคน เพราะคนก็คือการประชุมรวมกันของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ไม่มีต้นไม้ ไม่มีภูเขา เพราะต้นไม้และภูเขาที่บัญญัติขึ้นเพราะมีการประชุมรวมกันของรูปธรรม หากไม่มีนามธรรมและรูปธรรม ก็ไม่มีโลกที่สมมติกันขึ้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นเมื่อสภาพธรรมเกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้นครับ

อรรถกถาสมิทธิสูตรที่ ๖ ในสมิทธิสูตรที่ ๖ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ .

บทว่า โลโก ความว่า ที่ชื่อว่า โลก เพราะอรรถว่า แตกทำลาย.ความว่า ที่ชื่อ ว่าโลก เพราะอรรถว่า แตกทำลาย.

เชิญคลิกอ่านที่นี่เพิ่มเติมครับ .......

สิ่งที่เรียกว่าโลก [โลกสูตร]

สิ่งที่เรียกว่าโลก [ปโลกสูตร]

ดังนั้น ขันธโลก ก็คือ สภาพธรรมที่เป็น ขันธ์ ที่เป็นสภาพธรรมที่เป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ ที่เกิดขึ้นและดับไป เรียกว่า ขันธโลก

ธาตุโลก คือ สภาพธรรมที่เป็นธาตุ ที่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป ทรงไว้ซึ่งลักษณะ เป็นนามธาตุ และ รูปธาตุ เป็นต้น

และ อายตนะโลก คือ โลก คือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป ที่เป็นทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ ขณะนี้มีโลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก โลกทางลิ้น โลกทางกาย โลกทางใจ เกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้น เพราะมี ตา หู จมูก....ใจ โลกจึงมี และสภาพธรรมที่เรียกว่าโลก คือ ตา หู จมูก....ใจและนามธรรมและรูปธรรมอื่นๆ ก็เกิดขึ้นและดับไป สิ่งใดเกิดขึ้นและ ดับไป แตกสลายไป จึงเรียกว่าโลกในวินัยของพระอริยเจ้าตามที่พระพุทธองค์ทรง แสดงครับ

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ ....

สิ่งที่เรียกว่าโลก [จตุตถสมิทธิสูตร]

เมื่ออะไรเกิดขึ้นโลกจึงเกิดขึ้น [โลกสูตร]

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย ใฝ่รู้  วันที่ 16 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย khampan.a  วันที่ 16 เม.ย. 2556

ขอบอมน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คำหรือพยัญชนะที่ได้ยินได้ฟังที่เป็นวาจาสัจจะ หรือเป็นพระพุทธพจน์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ล้วนส่องให้เข้าใจถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่ใช่ให้ไปติดที่คำ แต่อาศัยคำนั้นเพื่อความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา และธรรมก็มีจริงในขณะนี้ ไม่ใช่อยู่ในตำรา แม้แต่อวิชชากับโลก ก็คือสภาพธรรมที่มีจริงๆ อวิชชาเป็นความไม่รู้ในสภาพธรรม ทำให้ท่องเที่ยววนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีวันจบสิ้น นำมาซึ่งทุกข์โดยประการทั้งปวง อวิชชาเป็นมูลรากของอกุศลธรรมทั้งหลาย และเป็นโลกด้วย เพราะโลกคือสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุ เหตุปัจจัยทั้งหมดซึ่งเมื่อเกิดแล้วก็ต้องมีการดับไปหรือแตกสลายไปเป็นธรรมดา เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย สภาพธรรมมีจริงทุกขณะ แต่ที่ไม่เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง เพราะอกุศลเกิดขึ้นครอบงำทำให้ไม่สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นแล้วหนทางเดียวที่จะทำให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็คือหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 4    โดย wannee.s  วันที่ 16 เม.ย. 2556

อวิชชา คือ ความไม่รู้ ความโง่เขลา ความมืด เหมือนคนที่ตาบอด ย่อมไม่เห็นธรรม เพราะถูกปิดบังด้วยอวิชชา ค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย natural  วันที่ 17 เม.ย. 2556

ขอบพระคุณที่ช่วยให้เข้าใจมากขึ้นและอนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 18 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย orawan.c  วันที่ 7 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ