นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
... สนทนาธรรมที่ ...
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๖ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น.
สุพรหมสูตร
จาก
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๕๕
(ภาพแสดงบรรยากาศการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ วันอาสาฬหบูชา ๒๒ ก.ค. ๒๕๕๖)
...นำสนทนาโดย...
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๕๕
๗. สุพรหมสูตร
[๒๖๙] สุพรหมเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า จิตนี้สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ ใจนี้หวาด เสียวอยู่เป็นนิตย์ ทั้งเมื่อกิจไม่เกิดขึ้น ทั้ง เกิดขึ้นแล้วก็ตาม ถ้าความไม่สะดุ้งกลัวมีอยู่ ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว โปรดตรัส บอกความไม่สะดุ้งนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด
[๒๖๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เรายังมองไม่เห็นความสวัสดีแห่ง สัตว์ทั้งหลาย นอกจากปัญญาและความเพียร นอกจากความสำรวมอินทรีย์ นอกจากความสละวางทุกสิ่งทุกอย่าง สุพรหมเทวบุตรได้กล่าวดังนี้แล้ว ก็อันตรธานไปในที่นั้นเอง
อรรถกถาสุพรหมสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสุพรหมสูตรที่ ๗ ต่อไป :-
บทว่า สุพฺรหฺมา ความว่า ได้ยินว่า เทพบุตรนั้น อันเหล่าเทพอัปสรห้อมล้อมแล้ว ไปยังสนามกีฬานันทวัน นั่ง ณ อาสนะที่จัดไว้ ใต้โคนต้นปาริฉัตร เหล่าเทพธิดา ๕๐๐ ก็นั่งล้อมเทพบุตรนั้น เหล่าเทพธิดา ๕๐๐ ก็ปีนขึ้นต้นไม้
ถามว่า ก็ต้นไม้แม้สูง ๑๐๐ โยชน์ ก็น้อมลงมาถึงมือด้วยอำนาจจิตของเหล่าเทวดา มิใช่หรือ เหตุไร เทพธิดาเหล่านั้น จึงต้องปีนขึ้นเล่า
ตอบว่า เพราะเทพธิดาเหล่านั้นสนใจแต่จะเล่น แต่ครั้นปีนขึ้นไปแล้ว ก็ขับเพลงด้วยเสียงอันไพเราะ ทำดอกไม้ทั้งหลายให้หล่นลง เหล่าเทพธิดานอกนี้ (ที่ไม่ได้ปีนขึ้น) เก็บดอกไม้เหล่านั้น เอามาร้อยทำเป็นพวงมาลัยขั้วเดียวกัน เป็นต้น
ครั้งนั้น เหล่าเทพธิดา ที่ปีนขึ้นต้นไม้ ก็ทำกาละ (จุติ) ด้วยอำนาจอุปัจเฉทกกรรม ประหารครั้งเดียวเท่านั้น ไปบังเกิดในอเวจีนรก เสวยทุกข์ใหญ่ เมื่อเวลาล่วงไป เทพบุตรก็นึกรำพึงว่า ไม่ได้ยินเสียงเทพธิดาเหล่านั้น ดอกไม้ก็ไม่หล่น เขาไปไหนกันหนอ ก็เห็นไปบังเกิดในนรกเกิดรันทดใจ เพราะความโศกในของรัก จึงดำริว่า ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เหล่าเทพธิดาก็ไปตามกรรม ตัวเราจะมีอายุสังขารเท่าไรกันเล่า เทพบุตรนั้น ดำริว่า ในวันที่ ๗ เราก็จะพึงทำกาละ พร้อมกับเหล่าเทพธิดา ๕๐๐ ส่วนที่เหลือ พากันไปบังเกิดในนรกนั้นเหมือนกัน รันทดระทมเพราะความโศกที่รุนแรง
เทพบุตรนั้น ก็ดำริว่า ในมนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลก นอกจากพระตถาคตแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถดับความโศกของเรานี้ได้ จึงไปเฝ้า กล่าวคาถาว่า นิจฺจมุตฺรสุตํ ดังนี้เป็นต้น บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า อิทํ เทพบุตรนั้น แสดงจิตของตน
บทที่ ๒ เป็นไวพจน์ของบทต้นนั่นแหละ ก็บทว่า นิจฺจํ ไม่พึงถือเอาความว่า จำเดิมแต่กาลที่บังเกิดในเทวโลก พึงทราบความนั้นว่าเป็นนิตย์ จำเดิมแต่เวลาที่สะเทือนใจ
บทว่า อนุปฺปนฺเนสุ กิจฺเจสุ ได้แก่ ในทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น โดยล่วงไป ๗ วัน แต่วันนี้ ด้วย
บทว่า อโถ อุปฺปตฺติเตสุ จ เทพบุตรนั้นแสดงว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว และยังไม่เกิดขึ้นเหล่านี้ อย่างนี้ คือ ในทุกข์ที่ข้าพระองค์ เห็นนางอัปสร ๕๐๐ บังเกิดในนรก จิตของข้าพระองค์ก็หวาดสะดุ้งเป็นนิตย์ ข้าพระองค์เป็นประหนึ่งถูกไฟเผาอยู่ในอก
บทว่า นาญฺญตฺร โพชฺฌงฺคตปสา ความว่า นอกจากการเจริญโพชฌงค์ และ คุณคือ ตปะ เรามองไม่เห็นความสวัสดีในที่อื่น
บทว่า สพฺพนิสฺสคฺคา ได้แก่ พระนิพพาน ก็ในบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาการเจริญโพชฌงค์ก่อน ภายหลังก็ทรงถือเอาอินทรียสังวรก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้น โดยใจความอินทรียสังวร ก็พึงทราบว่า ทรงถือเอาก่อน ด้วยว่า เมื่อภิกษุถือเอาอินทรียสังวรแล้วก็เป็นอันถือเอาจตุปาริสุทธิศีลด้วย ภิกษุตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีลนั้นเป็นนิสสัยมุตตกะ (พ้นจากการถือนิสสัยกับอุปัชฌาย์หรืออาจารย์) สมาทานตป คุณ กล่าวคือ ธุดงค์เข้าป่าเจริญกัมมัฏฐาน ย่อมทำโพชฌงค์ให้เกิดมีพร้อมกับวิปัสสนา อริยมรรคของภิกษุนั้น ทำนิพพานธรรมอันใดเป็นอารมณ์แล้วเกิดขึ้น นิพพานธรรมอันนั้น ชื่อว่า สัพพนิสสัคคะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปลี่ยนเทศนาเป็นสัจจะ ๔ เมื่อจบเทศนา เทพบุตรก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
จบอรรถกถาสุพรหมสูตรที่ ๗
...ขอความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมจงมีแด่ทุกท่าน...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
สุพรหมสูตร
สุพรหมเทพบุตร มีนางอัปสร ๑,๐๐๐ ห้อมล้อม ไปเล่นที่สวนนันทวัน เมื่อนางอัปสร ๕๐๐ ผู้เก็บดอกไม้จากต้น จุติไปเกิดในนรก สุพรหมเทพบุตร เกิดความเศร้าโศกเมื่อรู้ว่านางอัปสร ๕๐๐ ไปเกิดในนรก และรู้ว่าในวันที่ ๗ แม้ตนเอง กับนางอัปสร ๕๐๐ ที่เหลือ ก็จักตายไปเกิดในนรกเหมือนกัน ยิ่งเกิดความเศร้าโศกที่รุนแรงขึ้น คิดว่า พระบรมศาสดาเท่านั้น ที่จะยัง ความเศร้าโศกของเราให้สิ้นไปได้ จึงพานางอัปสร ๕๐๐ ที่เหลือ เข้าเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามปัญหา และพระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบปัญหา ความว่า “เรายังมองไม่เห็นความสวัสดีแห่งสัตว์ทั้งหลาย นอกจากปัญญาและความเพียร นอกจากความสำรวมอินทรีย์นอกจากความสละวางทุกสิ่งทุกอย่าง (พระนิพพาน) ”
ในที่สุดแห่งเทศนา สุพรหมเทพบุตรได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน (ในทีฆนิกาย และ ในมัชฌิมนิกาย ได้แสดงไว้ว่า นางอัปสร ๕๐๐ ที่เหลือ ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันด้วย) .
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
อินทรีย์สังวรศีล
อาศัยพระศาสดา
อะไรเป็นที่พึ่งที่แท้จริง
รัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันสูงสุดได้อย่างไร
เพราะไม่ได้ฟังธรรม ย่อมเสื่อมรอบ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
อนุโมทนาขอบคุณค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ