การที่เรามีจิตใจดี คิดดีกับคนอื่น ไม่มุ่งร้ายต่อใคร และหมั่นทำบุญ สวดมนต์ อยู่เป็น ประจำ การกระทำแบบนี้ จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นหรือไม่ครับ ทั้งในด้านการงานและปัจจัยอื่น ในบางครั้งคนที่ทำดี หมั่นทำบุญ ทำทาน ทำไมลำบากเหลือเกิน ส่วนคนชั่ว ได้อยู่สุขสบาย ช่วยอธิบายหน่อยครับ
ควรทราบความจริงทุกขณะในชีวิตอย่างนี้ว่า บางขณะเป็นเหตุที่ดีคือ กุศล บางขณะ เป็นเหตุที่ไม่ดีคืออกุศล บางขณะเป็นผลของกุศล บางขณะเป็นผลของอกุศล ในชาตินี้ บางคนทำแต่ความดี แต่ลำบากยากจน อยู่อย่างขัดสน เพราะอกุศลกรรมในอดีต บางคนทำแต่กรรมไม่ดี แต่มีชีวิตเป็นอยู่อย่างสุขสบาย มีเงินมีทองใช้ เพราะผลของกุศลกรรมในอดีต เนื่องจากในอดีตชาติอันยาวนาน เราทำทั้งกรรมดี และกรรมไม่ดีไว้มาก แต่กรรมไหนจะให้ผลเราไม่อาจเลือกได้ ดังนั้น ควรเป็นผู้มั่นคงในกรรมและ ผลของกรรม สะสมกรรมดีต่อไป และไม่ควรมุ่งหมายที่เงินทองหรือความร่ำรวย แต่ควรทำเพื่อความดี สะสมกรรมดีเพื่อละความไม่ดีที่สะสมมานาน ย่อมถูกต้องและ ตรงกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ทำเพื่ออะไรในสิ่งที่เป็นกุศล เพราะเข้าใจความจริงว่าเป็นสิ่งที่ดี ประเสริฐ ไม่ใช่เพื่อลาภ หรือความเจริญในทางวัตถุ กุศลหรือความดีมีหลายระดับ ขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นอบรมปัญญาเพื่อดับกิเลส อาจคิดว่าเราทำดีแล้ว เช่น ไม่โกรธ ไม่มุ่งร้ายใคร ให้ทาน แต่เรารู้ไหมว่า เรามีกิเลส รู้ไหมว่าขณะนี้มีกิเลส แม้ความพอใจเพียงเล็กน้อย โทสะเพียงเล็กน้อย ขณะที่จิตเป็นอย่างนั้น จะกล่าวว่าเราดีได้ไหม ในเมื่อเป็นกิเลส ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสรู้ความจริง ไม่ใช่แค่ขั้นทาน ศีล สวดมนต์ แต่เข้าใจความจริงว่า สัตว์โลกมีกิเลสและทรงทราบหนทางดับกิเลส หนทางนั้นคือการอบรมปัญญาเพื่อรู้ความจริงที่เกิดขึ้นกับเราในชีวิตประจำวัน และเห็นกิเลสที่ละเอียดและตามความเป็นจริงมากขึ้นครับ
ทำไมถึงลำบาก ทำไมถึงอยู่สุขสบาย คนที่ลำบากและคนที่สุขสบาย ทั้งสองสบายจริงหรือเปล่า ทุกข์ใจไหม นอนบนปราสาท เตียงอย่างดี ทุกข์ใจไหม เพราะอะไร เพราะกิเลส ดังนั้น เราควรคิดพิจารณาว่า อะไรคือความจริง และอะไรเป็นเหตุให้ทุกข์และลำบากทั้งกายและใจ ไม่พ้นจากกิเลสเลย ดังนั้น เราต้องการอะไรอย่างแท้จริงในชีวิต ครอบครัวมีความสุข รวย เท่านั้นหรือ แต่ก็ไม่พ้นจากการเกิดและทุกข์เพราะกิเลส
คนที่ได้รับสุขและทุกข์ที่เป็นทรัพย์สมบัติหรือความลำบากกาย ก็เพราะสร้างเหตุคือ กุศลหรืออกุศลไว้ แต่ว่าเราไม่ได้สร้างแต่กุศลอย่างเดียว อกุศลย่อมมากกว่า (ถ้ารู้) เมื่อเหตุพร้อม ผลไม้ลูกไหนสุกก็หล่นก่อน ลูกไม่สุกก็ยังไม่หล่น คนที่ทำดีในปัจจุบัน กุศลมีให้ผลชาตินี้ ชาติหน้าจึงเป็นอนัตตา อกุศลให้ผลก่อนก็ได้ทำให้ลำบาก เป็นต้น คนที่ทำชั่วปัจจุบันแต่เขาก็เคยทำความดีในชาติก่อนๆ ผลของกรรมที่เป็นกรรมดีย่อม อาจให้ผลในชาตินี้ก็ได้ จึงเป็นอนัตตาจริงๆ ขอให้มั่นคงในเรื่องกรรมและทำดีเพราะ เป็นความดี มิใช่เหตุอื่นครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก
[เล่มที่ ๔๒] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ ๒๑
"แม้คนผู้ทำบาป ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอดกาล ที่บาปยังไม่เผล็ดผล, แต่เมื่อใด บาปเผล็ดผล, เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นบาปว่าชั่ว, ฝ่ายคนทำกรรมดี ย่อมเห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอดกาลที่กรรมดียังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใด กรรมดีเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อม เห็นกรรมดีว่าดี"
[เล่มที่ ๔๑] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒-หน้าที่ ๒๓๖
"ก็กรรมชั่วอันบุคคลทำแล้ว ยังไม่ให้ผล เหมือนน้ำนมที่รีดในขณะนั้น ยังไม่แปรไปฉะนั้น, บาปกรรม ย่อมตามเผาคนพาล เหมือนไฟอันเถ้ากลบไว้ฉะนั้น"
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอกราบบูชาคุณพระรัตนตรัย
เมื่อก่อนก็มีความคิดแบบ คุณ lokmom น่ะค่ะ แต่เมื่อมีโอกาสได้มาศึกษา และฟังพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้องนี้ ทำให้ตาสว่างและพอรู้หนทางที่จะเรียนรู้และทันกิเลส ของตัวเองมากขึ้นว่า บางครั้งที่คิดว่าทำดีแล้ว แต่กลับแฝงด้วยโลภะของตัวเองด้วย และขอให้คุณมั่นคงในเรื่องของกรรมทั้งในอดีตและปัจจุบัน พร้อมกับศึกษาและฟังพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้องนี้ คุณก็จะได้คำตอบที่ชัดเจนยิ่งขึ้นน่ะค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ในสังสารวัฏฏ์ เราก็ไม่ได้ทำแค่กรรมเดียว มีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม อย่างเช่น เวลาที่เราให้ทาน ชวนะดวงที่ ๑ ให้ผลชาตินี้ ชวนะดวงที่ ๒ - ๖ ให้ผลนับชาติไม่ถ้วน จนกว่าจะปรินิพพาน ชวนะดวงที่ ๗ ให้ผลชาติหน้า เพราะฉะนั้น การทำความดี หรือทำความชั่ว ก็ต้องรอกาลเวลาที่จะให้ผล ไม่ใช่ว่าเราทำดีวันนี้ แล้วจะให้ผลในวันพรุ่งนี้ เป็นต้น
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ