ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากการถอดเทปการบรรยายธรรมโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ณ ตึกสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัยพ.ศ. ๒๕๒๕ โดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล
ท่านผู้ฟัง ผมอยากจะถามว่า ไปทำงาน เจริญสติปัฏฐานได้ไหม การทำงานแต่ละอย่าง เช่น ขับรถ ตำน้ำพริก เจริญสติปัฏฐาน ได้ไหม
ท่านอาจารย์ ท่านผู้ฟังคิดว่า ได้หรือไม่ได้ ลองพิจารณาเองได้ นั่นเป็นความเห็นถูก เพราะว่าไม่มีสักขณะเดียวที่ไม่ใช่นามธรรมและรูปธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งดับขันธปรินิพพานก็เพื่อที่จะให้รู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ต้องเป็นธรรมทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวงจริงๆ ไม่มีธรรมะสักอย่างเดียวซึ่งเป็น อัตตา เพราฉะนั้น ทรงแสดงธรรมโดยละเอียดสำหรับผู้ที่ไม่ใช่ อุคฆฏิตัญญู วิปัญจิตัญญู ซึ่งเป็นผู้ที่สามารถจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้โดยรวดเร็ว
ท่านผู้ฟัง การเจริญสติปัฏฐานจะต้องไปเข้าปฏิบัติตามสถานที่ต่างๆ หรือเปล่าครับ
ท่านอาจารย์ การอบรมเจริญสติปัฏฐาน คือเป็นผู้มีปกติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงคือ ที่ไหน ขณะไหนก็ได้ ซึ่งเป็นชีวิตจริงๆ ไม่ต้องสร้างขึ้นมาเลย ใครสามารถที่จะสร้างนามธรรมหรือรูปธรรมได้ไม่มี ใช่ไหม เป็นความเข้าใจผิดที่คิดว่ามีตัวตนที่จะสร้างนามธรรมหรือรูปธรรมประเภทนั้นๆ ได้ แต่ความเป็นจริงแล้วทุกๆ ขณะเป็นนามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องของปัจจัยไว้โดยละเอียด
ท่านผู้ฟัง ผมมองเห็นสิ่งที่ไม่ดี โทสะก็เกิด ที่ชอบโลภะก็เกิดอาจารย์ว่า เป็นอย่างนั้นไหมครับ
ท่านอาจารย์ ท่านที่ไปสำนักปฏิบัติหรือเข้าใจว่า ต้องไปจะมีความรู้สึกว่าแยกชีวิตประจำวันออกจากสำนักปฏิบัติแล้ว เพราะว่าถ้าการไปสู่ที่หนึ่งที่ใดโดยเฉพาะ ด้วยความตั้งใจที่จะอบรมเจริญปัญญาย่อมแสดงว่า ปกติประจำวันไม่ได้เจริญปัญญา
แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติประจำวันเจริญปัญญาอยู่แล้วจะไปที่ไหน ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า "สำนักปฏิบัติ" เพราะว่า สติเกิดขึ้นปฏิบัติกิจขอ สติคือ ไม่หลงลืมที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่จำเป็นต้องไปสู่สถานที่หนึ่งที่ใดโดยเฉพาะที่ชื่อว่า "สำนักปฏิบัติ" เพื่อที่จะให้สติเกิดขึ้นที่นั่นเพราะว่า สติ เป็นอนัตตาเมื่อมีการเข้าใจธรรมะแล้ว เป็นปัจจัยให้ สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ตามปกติ ตามความเป็นจริง
ข้อสำคัญที่สุดคือ ต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดตามปกติตามเหตุตามปัจจัย ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะไปสู่สำนักหนึ่ง สำนักใดเป็นเวลานานสักเท่าไร แต่สติ ไม่สามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง ไม่ชื่อว่าเป็น "ผล" ของการอบรมเจริญปัญญาเพราะว่าปัญญาไม่สามารถจะเจริญจนรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดปรากฏตามปกติ ตามเหตุ ตามปัจจัย ตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้น จึงต้องเป็นผู้มีปกติ อบรมเจริญสติปัฏฐาน เพื่อที่จะระลึกรู้ลักษณะของ ปกตูปนิสสยปัจจัย ซึ่งแต่ละท่านสะสมมาจนเป็นปกติ
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศล แด่ คุณพ่อ คุณแม่และสรรพสัตว์
ขณะไหนก็ได้เพราะไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน
ขออนุโมทนาครับ
สาธุ
ขออนุโมทนาค่ะ
การอบรมเจริญสติปัฏฐาน ถ้าเข้าใจ ไม่ว่าที่ไหน เวลาไหน ก็ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิดค่ะ
การอบรมเจริญสติปัฏฐาน คือ เป็นผู้มีปกติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงคือ ที่ไหน ขณะไหน ก็ได้ ซึ่งเป็นชีวิตจริงๆ ไม่ต้องสร้างขึ้นมาเลย ใครสามารถที่จะสร้าง นามธรรม หรือ รูปธรรมได้
ทุกๆ ขณะเป็น นามธรรม และ รูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น จึงต้องเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐานเพื่อที่จะระลึกรู้ลักษณะของ ปกตูปนิสสยปัจจัยซึ่งแต่ละท่าน สะสมมา จนเป็นปกติ.
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูง
กว่าจะเข้าใจในขั้นการฟัง เป็นเรื่องราวว่า การเจริญสติปัฏฐานคือ ขณะนี้เอง ทุกที่ ทุกเวลาตามปกติในชีวิตประจำวันของแต่ละคน
ก็ใช้เวลานานมากๆ และยังหลงลืมอยู่เป็นนิจ
๑๑๑๑๑
ขออนุโมทนาคุณปริศนา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาสาธุธรรมครับผม (ผมได้ฟังพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ได้กล่าวไว้ว่าการเจริญสติปัฏฐาน4ควรทำได้ทั้งวันยิ่งดี)