ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประมวลสาระสำคัญ
จากการสนทนาธรรม
ที่ นิกันติกอล์ฟ คลับ จ. นครปฐม
วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๑
~ ความจริง เป็นสิ่งที่รู้ได้ แต่ต้องไตร่ตรองโดยละเอียดอย่างยิ่ง เพราะเรามาพบกันเพื่ออะไร? เพื่อจะได้เข้าใจสิ่งซึ่งได้ฟังจากการสนทนากัน (สนทนาธรรม) เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของการได้รู้จักกัน ได้พบกัน ก็คือ เราได้มีความเข้าใจสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ดีกว่าไปทำอย่างอื่น
~ เราได้ยินคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเราก็มาฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำที่พระองค์ได้ตรัสไว้เมื่อ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ที่เรากราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้า เราก็ต้องรู้ว่าเรากราบไหว้บูชาใคร ถ้าเราไม่รู้จักพระพุทธเจ้าเลยแล้วเราก็กราบไหว้บูชา ถามว่า ถูกต้องไหม? เป็นเรื่องที่ให้เริ่มคิดไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตนเอง เมื่อเป็นความเข้าใจของเราเองแล้วคนอื่นเปลี่ยนได้ไหม ในเมื่อเหตุผลถูกต้อง เพราะฉะนั้น เรารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่าที่เรากราบไหว้ หรือว่า เรามาฟังคำที่พระองค์ตรัสไว้ซึ่งคำนั้นเป็นความจริง ซึ่งได้ยินเมื่อไหร่ สามารถที่จะเข้าใจได้เมื่อนั้น ดีกว่าเราไปกราบไหว้พระพุทธรูปแต่ว่าไม่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ถ้าเขาถามว่า เรากราบไหว้พระพุทธรูปทำไม ตอบได้ไหม? ขอโน่นขอนี่แล้วขอได้หรือเปล่า? ทุกอย่างทำให้เราได้เป็นผู้ที่มีเหตุมีผล ถ้าเราค่อยๆ ฟังค่อยๆ ไตร่ตรอง ก็จะได้ประโยชน์จากการได้มาพบกัน เหมือนกับการได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากคำของพระองค์ ไม่ใช่จากบุคคลหนึ่งบุคคลใด
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่าอย่างไร เราก็ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้น จึงจะรู้ว่าเรากราบไหว้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระองค์ทำให้เราได้เข้าใจความจริง
~ คำแรกที่เราได้ฟัง คือ สิ่งที่มีจริง (ธรรม) ใครจะปฏิเสธ ว่า ไม่จริงได้ไหม? เราไม่ต้องพูดว่าธาตุ (สภาพที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น) ไม่ต้องพูดว่าขันธ์ (สิ่งที่เกิดดับ) พูดแล้วก็ไม่รู้จัก แล้วจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ต่อหน้ามีจริงๆ ไหม เมื่อมีจริงๆ ภาษาบาลี พระสัมมาสัมพระเจ้าตรัสว่า เป็น "ธรรม" (ธมฺม)
~ เห็น มีจริงไหม เห็นมีจริงๆ ฟังแล้วต้องคิด ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการได้พบกันแล้วก็ได้ฟังธรรม เพราะฉะนั้น ก็เริ่มฟังใหม่ คิดใหม่ เพื่อจะได้เข้าใจให้ถูกต้องใหม่, เห็นมีจริงๆ ได้ยิน มีจริงๆ สิ่งที่มีจริงนี่แหละ เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ตามความเป็นจริง สิ่งที่มีทุกอย่างซึ่งเราไม่เคยรู้เลย พระสัมมาสัมพระเจ้า ทรงตรัสรู้
~ ผู้ที่ได้ฟังธรรม จะได้เข้าใจธรรม ซึ่งยากที่คนอื่นจะเข้าใจได้
~ ธาตุเป็นสิ่งที่มีจริง ใครก็เปลี่ยนไม่ได้
~ ชีวิต ก็มีแต่รูปธาตุกับนามธาตุเท่านั้น
~ ความสุขเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้ว สุขก็เกิดขึ้นอีกแล้วก็ดับไป ไม่เหมือนเดิมเลย แต่ว่าไม่ได้มีเฉพาะสุขเท่านั้น ทุกข์ก็มี เพราะฉะนั้น สุขกับทุกข์ก็สลับกัน ทุกคนอยากสุข แต่ทำไมทุกคนไม่เป็นสุข แต่เป็นทุกข์ บางคนเจ็บไข้ได้ป่วย บางคนมีเรื่องเดือดร้อนต่างๆ เลือกได้ไหม? ไม่ได้ ต้องมั่นคง
~ ไม่ใช่ใครที่ทำ แต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของธรรม
~ ต้องฟังธรรมอีกมาก และเข้าใจในแต่ละคำ ถึงจะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ และก็บูชาพระองค์ด้วยความเข้าใจพระธรรม เป็นการบูชาสูงสุด
~ โลกทั้งหมด จะกี่โลกก็ตาม จะแตกต่างกันเป็น ๒ อย่าง คือ มีธรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร ก็มี คือ เป็นรูปธรรม และ อีกอย่างหนึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นนามธรรม เป็นธรรมที่เกิดขึ้นต้องรู้ อย่างเช่น ได้ยินเสียง หมายความว่ามีธรรมที่กำลังได้ยินเสียง เราใช้คำว่า ธรรม เพราะได้ยินมีจริงๆ แต่ได้ยินไม่ใช่เสียง
~ ถึงแม้ว่าจะจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่มีชีวิตอย่างโลกนี้ แต่ก็มีชีวิตอย่างอื่นเหมือนอย่างที่ก่อนจะมาเกิดมาในโลกนี้ ก็มีชีวิตอย่างอื่นเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้แล้วก็เกิดมา ก็สุขทุกข์อย่างนี้แหละ จะมากจะน้อยอย่างไรก็ต้องจากไป แล้วก็ต้องเกิดอีก เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง ชั่วคราว ถ้าได้ยินคำนี้มั่นคงจริงๆ สามารถที่จะหมดกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์ได้, แต่ว่า ความไม่รู้ มีมาก ความติดข้องมีมาก เพราะฉะนั้น ก็หลงไม่รู้และหลงติดข้องต่อไป จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น คำของพระองค์ พูดถึงชีวิตทั้งชีวิตทั้งหมด มีจริงๆ รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างด้วย
~ การกระทำ มีทั้งดีและชั่ว ผลก็ต้องเป็นตามเหตุ ถ้าเหตุไม่ดี จะนำมาซึ่งผลที่ดี ไม่ได้ และถ้าเหตุดี ก็จะนำมาซึ่งผลที่ไม่ดี ไม่ได้
~ ควรที่จะได้เข้าใจว่า เหตุที่ไม่ดี ที่ทำ ผล คือ อะไร จากโลกนี้ไปแล้วเกิดไม่ดี (เกิดในอบายภูมิ) ทำไมมีนก มีหนู มีแมว มีช้าง มีจิ้งจก มีตุ๊กแก ทำไมไม่มีแต่คน? เนื่องจากกรรมที่ได้กระทำไว้
~ สุนัขบางตัว ก็รูปร่างน่ารักมาก แม้เกิดเป็นสุนัข กรรมยังทำให้วิจิตรต่างกันไป นี่แสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนแปลงเหตุที่ได้กระทำไปแล้วได้เลย, ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ รูปร่างหน้าตาก็ต่างกัน แม้เป็นพี่น้องกันก็ยังต่างกันไปได้ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น
~ ต่อไปนี้ พอได้รับผลที่ดี ก็เพราะกรรมที่ได้ทำมา แต่กรรมไหน ก็ไม่รู้ ชาติไหนก็ไม่รู้ แต่มีเหตุดีแน่ๆ ที่ได้ทำมา เพราะฉะนั้น เหตุดี ที่ทำ ต้องให้ผลดีแต่ให้ผลเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้, เวลาได้รับผลที่ไม่ดี ก็เพราะเคยทำมาไม่ดี ชาติไหนไม่รู้ ทำอะไร ก็ไม่รู้
~ ครึ่งหนึ่งของชีวิต เป็นผลของกรรม อีกครึ่งหนึ่งเป็นกรรม เพราะยังมีกิเลสที่จะทำให้เกิดผลต่อไป นี่คือธรรม ไม่ใช่เรา ต้องไม่ลืม สิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แค่ไม่กี่คำ แต่ขอให้เข้าใจจริงๆ
~ เป็นคนดี ดีก็เป็นธรรม ทุกคนชอบคนดี ไม่มีใครชอบคนร้าย ก็ต้องไม่ลืมว่า ดี มีจริง แต่ไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่า มีแต่ธรรม
~ มั่นใจในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า เป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง ไม่มีคำเท็จ ไม่มีคำหลอกลวง ไม่มีคำหวังร้ายจากทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ เมตตา หมายถึง ความเป็นเพื่อน ความหวังดี พร้อมที่จะเกื้อกูลทำประโยชน์ให้กับคนที่หวังดี
~ ต้องเป็นคนที่ตรง ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ดีก็คือดี ชั่วก็คือชั่ว เพราะฉะนั้น เรามีทั้งดีและไม่ดี ดีกับชั่วก็ต่างกันแล้ว แล้วอะไรดีกว่ากัน ดีต้องดีกว่าแน่แล้วเราเคยคิดไหมว่า มีความไม่ดีมากกว่าความดี ต้องตรง ถ้าได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งจะเห็นพระมหากรุณาคุณ ให้เรารู้ความจริง ว่า เรามีความไม่ดี มาก ทั้งวัน ดีน้อย จริงหรือเปล่า?
~ ถ้าดี จะไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว
~ ถ้ารักตัวเองจริงๆ ต้องไม่ทำชั่ว
~ ไม่ดี เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ต้องมีผล ช้าหรือเร็ว แล้วก็ไม่ใช่คนอื่นด้วย ต้องเป็นตัวเองที่ได้รับผลของการกระทำนั้นๆ
~ เมตตามีจริง เป็นธรรมไม่ใช่เรา เราเห็นกิริยาอาการภายนอกของใครที่ช่วยเหลือคนอื่น ทำทุกอย่างให้คนอื่นได้ เสียสละได้ เราบอก ว่า เขาเป็นมิตรที่ดีมีเมตตา ควรจะเป็นอย่างนั้นไหม? ถ้าเป็นคนที่ตรง แต่ทำไมเป็นไม่ได้? ทุกคนอยากดี ดีมากขึ้นๆ แต่ที่ดีไม่ได้ เพราะอะไร เพราะไม่รู้ความจริง
~ ถ้าเราฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป จะเข้าใจขึ้นๆ แล้วก็จะรู้ความจริงมากขึ้น ความดีก็มากขึ้น ความเห็นแก่ตัวก็น้อยลง
~ ถ้าเรามีความเป็นมิตร มีความเป็นเพื่อน มีเมตตาจริงๆ ก็คือ หวังดี จะทำร้ายคนที่เราหวังดีได้ไหม? ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะที่ทำร้ายใคร ขณะนั้นไม่เมตตา
~ เมตตา ไม่มีประมาณ เพราะเหตุว่าเป็นคุณธรรมที่ดี จะไม่มีการเบียดเบียนกันเลย ไม่ว่าทางกายหรือทางวาจา เพราะเหตุว่า ความเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนจากใจ เพราะฉะนั้น พูดกับคนอื่นด้วยเมตตา ไม่มีทางที่เขาจะโกรธเราเลยเพราะว่า เรามีความหวังดี ไม่ให้เขาเดือดร้อนเพราะคำของเรา
~ ที่ชอบกัน หรือ ไม่ชอบกัน ก็เพราะการกระทำทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง แม้แต่คำพูดธรรมดา ทำให้คนอื่นเสียใจก็ได้ น้อยใจก็ได้ จำไปจนตลอดชีวิตก็ได้ ไม่ลืม มีบางคนพูดว่า จำไปจนตาย น่ากลัวมาก ไม่ลืมเลย จำไว้ทำไม จำไว้เมื่อไหร่ก็ทำร้ายตัวเอง เพราะต้องเป็นสิ่งที่เขาไม่พอใจ เขาถึงจะขอจำไปจนตาย เท่ากับทำร้ายตัวเองตลอดเวลา
~ ว่าเขาไปสักเท่าไหร่ ก็ตาม เรานั่นแหละที่เดือดร้อน หาทุกข์ใส่ตัว ทั้งหมดทุกอย่างที่ไม่ดี มาจากความไม่รู้
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้คำว่า พระธรรม เพราะว่า กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดให้คนซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยตัวเอง ได้เข้าใจขึ้น
~ จิตใจที่ดีงาม ไม่ว่าจะทำอะไรทั้งหมด เป็นบุญ
~ ถ้าเราคิดดี ขณะนั้นก็เป็นบุญ แม้จะเล็กน้อยสักเท่าไหร่ก็ตาม เห็นคนหิวน้ำเอาน้ำไปให้เขาดื่ม เป็นบุญไหม? เป็นบุญ เพราะฉะนั้น ก็รู้จักบุญแล้ว คือ คุณความดี เกิดจากใจที่หวังดี ไม่รีรอ ไม่เกียจคร้านที่จะช่วยคนอื่น ขณะนั้น ก็เป็นบุญ รู้อย่างนี้แล้ว จะทำบุญไหม? ทำ, เพราะบุญ ทำได้ทุกที่ เมื่อไหร่ก็ได้ที่ไหนก็ได้
~ พูดคำๆ ดีกับเขา กับ พูดร้ายๆ กับเขา เขาจะสบายใจเพราะอย่างไหน? ก็ต้องสบายใจเพราะเราพูดดีๆ กับเขา
~ เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม หรือไม่? ถ้าฟังอีก ก็จะเข้าใจเพิ่มมากขึ้น ถ้าเห็นประโยชน์แล้ว จะฟังแน่ๆ เพราะว่า เราฟังอย่างอื่นมามากแล้ว แต่การได้ฟังพระธรรม เป็นการฟังสิ่งที่มีประโยชน์กว่าสิ่งใดๆ ที่เราเคยฟังทั้งหมดทั้งสิ้น.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ