ตอนนี้ มีพระพุทธเจ้าที่อื่น นอกเหนือจากโลกนี้ หรือไม่
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลที่เลิศประเสริฐสูงสุดกว่าหมู่สัตว์ทั้งหมด ทั้งพระคุณของ พระองค์ด้วย ดังนั้นฐานะที่จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ คือ พระพุทธเจ้าอุบัติเกิดขึ้นในโลก หรือจักรวาลอื่นๆ พร้อมๆ กัน 2 พระองค์ไม่ใช่ฐานะ คือ เป็นไปไมได้เลยครับ เพราะโลก และจักรวาลไม่สามารถรองรับคุณธรรมพร้อมๆ กันทั้ง 2 พระองค์ได้ และที่สำคัญเมื่อ พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลผู้เลิศสูงสุดเพียงพระองค์เดียว ถ้ามีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์ ก็ จะมีผู้นับถือ 2 พวกและต่างก็ไม่รู้ว่าใครเลิศกว่ากัน ดังนั้นจึงไม่ใช่ฐานะที่พระพุทธเจ้า จะอุบัติพร้อมกัน 2 พระองค์ครับ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 147
[๑๖๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสองพระองค์ จะ พึงเสด็จอุบัติขึ้นพร้อมกันในโลกธาตุเดียวกันนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว จะพึงเสด็จ อุบัติขึ้นในโลกธาตุอันหนึ่งนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้.
ดังนั้นในปัจจุบัน เป็นช่วงเวลาของพระศาสนา พระพุทธเจ้าพระนามว่า สมณโคดม และพระศาสนายังไม่อันตรธาน จึงไม่มีพระพุทธเจ้าที่โลกอื่น จักรวาลอื่นจะมีอยู่ บังเกิด ได้เลยครับ และพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็ปรินิพพานไปแล้ว ไม่มีการเกิดขึ้นของ จิต เจตสิก รูปอีก จึงไม่มีพระพุทธเจ้าสมณโคดมอยู่ที่สถานที่ใดที่เป็นนิรันดร์ ไม่เป็นเช่น นั้นครับ ปัจจุบันจึงไม่มีพระพุทธเจ้าสมณโคดม และไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นด้วย ครับ จึงไม่สามารถจะไปเฝ้าเห็นพระรูปกายของพระองค์ได้ครับ
แต่เมื่อก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานที่กุสินารา พระองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า เธออย่าสำคัญว่าเมื่อเราล่วงลับไป ศาสดาของเธอจะไม่มี ธรรมและวินัยได้ที่เราได้ แสดงไว้ จะเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลายครับ ดังนั้น การศึกษาพระธรรม ได้เข้าใจ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เหมือนกับการเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ที่เป็นนามกาย ไม่ใช่รูปกาย ที่เป็นพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า ผู้ทีได้เข้าใจคำสอนของพระ พุทธเจ้า ก็ชื่อว่าเห็นพระองค์ ได้เข้าเฝ้าพระองค์จริงๆ ครับ แต่แม้ผู้ที่อยู่ใกล้พระองค์
แม้จับชายสังฆาฏิติดตามไป แต่ไม่ได้เข้าใจคำสอน และไม่น้อมประพฤติปฏฺบัติตาม พระธรรม ไม่ชื่อว่าอยู่ใกล้พระองค์ ได้เข้าเฝ้าพระองค์จริงๆ ครับ แต่แม้ผู้นั้นไมได้เห็น พระองค์ อยู่ในที่ใกล้ และแม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม แต่เป็นผู้ศึกษา พระธรรมด้วยความเคารพและปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ใกล้พระองค์ และได้เห็นพระองค์และเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า จริงๆ ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ... อยู่ไกลเหมือนอยู่ใกล้พระองค์ [สังฆาฏิสูตร]
สมดังคำที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา คือ เห็นธรรมด้วยปัญญา ก็เห็นพระองค์ที่ เป็นนามกาย ที่เป็นคุณธรรมและปัญญาของพระองค์นั่นเองครับ ประโยชน์คือการศึกษาพระธรรม ค่อยๆ อบรมปัญญา เพราะยังมีคำสอนที่เป็นศาสดา แทนพระองค์ก็จะรู้ตามความเป็นจริง ดังที่พระพุทธเจ้าได้แสดงครับ การเข้าใจพระ ธรรมและน้อมประพฤติตามตาม ชื่อว่าได้เข้าเฝ้าพระองค์ครับ
ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนา ด้วยความนับถืออย่างสูงครับ
อาจารย์มีความคิดเห็นเกี่ยวกับ การอ้างว่า พระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ ล้วนเป็นมนุษย์ต่างดาวทั้งนั้น อย่างไรครับ
เรียนความเห็นที่ 4 ครับ
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะต้องบังเกิดในชมพูทวีป เป็นมนุษย์ชาวชมพูทวีปครับ ไม่ไ่ด้ เป็นมนุษย์ต่างดาวอะไรประมาณนั้น และพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้น 2 พระองค์พร้อมกัน ไม่ได้ครับ เพราะจักรวาลทั้งหมดรองรับคุณธรรมไม่พอครับ ตามพระไตรปิฎกที่ผมได้ยก มานั่นเองครับ ดังนั้นจึงเป็นไปตามความเชื่อของแต่ละจิตที่สะสมมาต่างกัน เปลี่ยนแปลง กันไมไ่ด้ครับ
ขออนุโมทนา
มีบางวัดบอก จะไปถวายข้าวทิพย์พระพุทธเจ้า วัดแถวๆ คลองอะไรสักอย่างนี่แหละ ที่ใกล้ๆ กรุงเทพฯ วัดที่ชอบบวชพระ บวชอุบาสิกา เป็นหมื่นเป็น แสนน่ะ อย่าเชื่อนะ ครับ... ที่จริงพระพุทธเจ้าปรากฎเฉพาะคนที่เห็นธรรม ที่เรียกว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็น เรา" แต่ที่เห็นไม่ใช่รูปกาย แต่เป็นสภาวะ ที่พ้นไปจาก รูปนาม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อกล่าวถึง พุทธะ แล้ว ควรที่จะได้เข้าใจว่า มีพุทธะ ๓ ประเภท คือ
๑. สัมมาสัมพุทธะ หมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้สภาพธรรมด้วยพระองค์เอง โดยไม่มีใครเป็นครูอาจารย์ พร้อมทั้งทรงแสดงพระธรรม ประกาศพระศาสนา ให้สัตว์โลกได้เข้าใจธรรม ตาม ด้วย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นเอกบุคคลทรงเป็นบุคคลผู้เลิศที่สุด เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุดในโลก โดยไม่มีใครเสมอเหมือน ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่ทรงอุบัติขึ้นพร้อมกัน ๒ พระองค์
๒. ปัจเจกพุทธะ หมายถึง พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้สภาพธรรมด้วยตนเอง ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลา ๒ อสงไขย แสนกัปป์ จึงจะตรัสรู้ได้ แต่ไม่สามารถตั้งศาสนา เพราะไม่สามารถบัญญัติศัพท์ที่เป็นคำพูดให้เข้าถึงสภาพธรรม อีกทั้งไม่มีอัธยาศัยใหญ่ในการอนุเคราะห์เกื้อกูลสัตว์โลกเหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า, พระปัจจเกพุทธเจ้า อุบัติขึ้นพร้อมกันๆ หลายพระองค์ได้ และจะอุบัติขึันได้เฉพาะในกาลสมัยที่ว่างจากพระพุทธศาสนา หรือ ว่างจากการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น
๓. อนุพุทธะ หรือ สาวกพุทธะ หมายถึง ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แล้วได้ตรัสรู้ตามเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เช่น พระอัญญาโกณฑัญญะ พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น
ยุคนี้ เป็นยุคที่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงอยู่ ถึงแม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว แต่ก็ยังมีพระธรรมวินัยที่พระองค์ทรงแสดง เป็นศาสดาแทนพระองค์ ดังพระพุทธดำรัสที่พระองค์ได้ตรัสกับท่านพระอานนท์ว่า
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ หน้า ๓๒๐ ธรรม ก็ดี วินัย ก็ดี อันใดอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา”
(จาก .... พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร)
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้นในโลกเพื่อเกื้อกูลสัตว์โลกอย่างแท้จริง ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลกทั้งปวง เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงแสดงพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้โปรดเวไนยสัตว์ ตลอดระยะเวลา๔๕ พรรษา ทรงพร่ำสอนอยู่บ่อยๆ เนืองๆ ก็เพื่อให้ผู้ฟังมีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติตาม จนกระทั่งถึงความเป็นผู้หมดจดจากกิเลสได้ในที่สุด ซึ่งเห็นได้ว่า สิ่งที่เป็นที่พึ่งที่แท้จริงในชีวิต คือพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษา มีความเข้าใจตามความเป็นจริง เป็นไปเพื่อการเจริญขึ้นของปัญญา เพื่อขัดเกลากิเลสจนหมดสิ้น ถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรม ไม่มีการอบรมเจริญปัญญาแล้ว สังสารวัฏฏ์ก็จะดำเนินไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้ ดังนั้น จึงต้องเริ่มสะสม อบรมเจริญปัญญา ด้วยตนเอง เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา เพิ่มพูนความเข้าใจถูก เห็นถูกขึ้น ไปตามลำดับ ตั้งแต่ในขณนี้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของผู้ที่กำลังอบรมเจริญปัญญา เพิ่มพูนความเข้าใจถูก เห็นถูก และยังกรุณาบอกให้คนอื่นๆ ที่พอจะบอกให้รู้ให้เข้าใจได้ ตามแต่กำลังของสติปัญญาของคนๆ นั้นที่ได้สะสมมา ให้เกิดความเข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยไม่หลงงมงายในความเห็นที่ผิดว่าถูก และกระทำในสิ่งที่ผิดไปจากความหมายของการตรัสรู้แจ้งของพระพุทธองค์ ก็คงต้องขึ้นอยู่กับการที่แต่ละคนสะสมอะไรกันมา กระมังคะ
เข้าเฝ้าได้ครับ ที่ใจเราไงครับ ไม่สำคัญดอกครับว่าจะมีพระองค์ประทับอยู่ที่ไหนอีกหรือไม่ เพราะเมื่อมีพระองค์ประทับอยู่ที่ใจเราก็พอครับแล้ว
ขออนุโมทนาครับ
เรียนท่านวิทยากร ท่านเจ้าของกระทู้ ดิฉันทราบและมีความเห็นว่าเช่นนี้ กรุณาชี้แนะ ด้วยค่ะ
1. พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะต้องมีกระบวนการการเป็นพระพุทธเจ้า เช่นมีการนึกคิด อธิษฐานก่อน จากนั้นก็ เปล่งวาจาขอเป็นพระพุทธเจ้า จากนั้นมีพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ทำนายว่าท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้า จากนั้นต้องบำเพ็ญบารมีแต่ละขั้นตอนต้องใช้ เวลาพากเพียรสร้างมหากุสลกันหลายอสงไขยกัปป์
2. พระพุทธเจ้าของเรานี้เป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะคือทรงบำเพ็ญเพียรด้าน ปัญญาเวลาการบำเพ็ญเพียรน้อยกว่าพระพุทธเจ้าประเภท ศรัทธาธิกะ และวิริยะธิกะ
3. เวลานนี้มีเวลาที่จะฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าพระองค์นี้อีกไม่นาน อีกไม่ถึง 2500 ปี โลกก็จะว่างจากพระพุทธเจ้า กว่าจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่มาโปรด ก็ไม่แน่เราจะ ไม่ได้มาฟังธรรม จึงคววรรีบเร่งฟังะรรมด้วยความตั้งใจสม่ำเสมอ และต้องระลึกว่า ผู้ใด ที่อวดว่าเป็นพระพุทธเจ้า ได้ไปพบพระพุทธเจ้า ล้วนแต่ เข้าข่าย อวดอุตตริ
4. ส่วนตัวสงสารผู้คนจำนวนมากที่ถูกหลอกลวงในเรื่องเกี่ยวกับ พระพุทธเจ้า จนพากัน เสียเวลาไปเกือบตลอดชีวิต โดยไม่มีโอกาสฟังธรรมที่ถูกต้อง ล้วนแต่ฟัง อ่านจาก ผู้ที่ เข้าใจธรรมเอง แล้วมาเสริมเติมแต่งตามใจชอบ ปลอบประโลมมใจได้เล็กๆ น้อยๆ เหมือนการจับงูที่หาง ของจริงคือพระไตรปิฎกกลับไปเก็บไว้ในตู้ บูชา ไม่นำมาอ่าน มี บางคณะเท่านั้น ที่อ้างอิงพระไตรปิฎกกันเช่นคณะบ้านธัมมะนี้เป็นต้น
5. สังคมไทยที่วุ่นวายมากนี้น่าจะเป็นผลจากที่สังคมไม่สนใจหาความรู้ความเข้าใจใน พระธรรมแท้ของพระพุทธองค์จึงมีปัญหาสังคมจนจลาจลที่ผ่านมา
6. ชาวบ้านธัมมะมีหนทางอย่างไรที่เป็นรูปธรรมนำพาสังคมให้ออกจากความมืดบอด ทางพระพุทธศาสนาเท่าที่สังเกตคณะมีผู้สูงอายุเป็นหลักมากกว่า เวลาล่วงเลยไป จะ หาผู้ใดมาสอนสั่งธรรมหากผู้สูงอายุต้องอำลาไปตามกาล เป็นห่วงสังคมมากและห่วง ลูกหลานที่ต้องผจญกับปัญหา สังคมไร้ (การศึกษา) ศาสนา ดูจากพิธีต่างๆ มีทั้งพุทธ พราหมณ์ ปะปนกันจน ยุ่งเหยิงจริงๆ กระทั่งชนชั้นระดับสูงและที่อื่นๆ ในประเทศไทย
เรียนความเห็นที่ 11 ครับ
1. ถูกต้องครับ
2. ถูกต้องครับ
6. โลกย่อมเป็นไปตามความเสื่อมเพราะสัตว์มากด้วยกิเลสจึงเป็นธรรมดาครับ