ภารสูตรและตันหาสามอยู่ส่วนใด ?
โดย สามารถ  16 ก.ค. 2552
หัวข้อหมายเลข 12909

อ่านเพิ่มเติมได้ที่พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 65

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 474



ความคิดเห็น 1    โดย prachern.s  วันที่ 16 ก.ค. 2552

ขอเชิญคลิกที่ ..

ด้วยขันธ์ ๕ เป็นภาระ [ภารสูตร] ตัณหา ราคะ โลภะ

ภวตัณหา

กามตัณหา

วิภวตัณหา


ความคิดเห็น 2    โดย paderm  วันที่ 16 ก.ค. 2552

ทิฎฐิและมานะเป็นสภาพธัมมะคนละอย่างและไม่เกิดพร้อมกัน

ขณะใดที่มีมานะ ขณะนั้นก็ไม่มีความเห็นผิด เพราะขณะนั้นกำลังสำคัญตน ไม่ได้มี

ความเห็นผิด แต่ขณะที่มีทิฏฐิคือความเห็นผิดเกิดขึ้น เช่น เห็นผิดว่า เที่ยง เป็นสุข

และมีตัวตน ขณะนั้น ไม่มีความถือตัว (มานะ) สำคัญตนเกิดขึ้นในขณะนั้นเพราะกำลัง

มีความเห็นผิดไม่ได้มีความสำคัญตน ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 3    โดย สามารถ  วันที่ 17 ก.ค. 2552

เข้าใจยากมากเลยครับ

"ขณะใดที่มีมานะ ขณะนั้นก็ไม่มีความเห็นผิด เพราะขณะนั้นกำลังสำคัญตน"

การสำคัญตนในที่นี้ไม่ได้เป็นสักกายทิฏฐิหรือครับ? ขณะนั้นไม่ยึดถือว่าเป็นเราเหนือหรือด้อยกว่าหรือเสมอใครๆ หรือครับ ทั้งสองธรรมนี้มีลักษณะที่เข้าใจยากครับ


ความคิดเห็น 4    โดย paderm  วันที่ 17 ก.ค. 2552

ควรเข้าใจก่อนว่า ความเป็นเรา มี 3 อย่างคือ

ความเป็นเราด้วยโลภะ ความเป็นเราด้วยมานะ ความเป็นเราด้วยทิฏฐิ

ทิฏฐิคือสภาพธรรมที่เห็นผิดจากความเป็นจริงคือเห็นว่าเที่ยง เป็นสุขและเป็นอัตตา

คือมีเราจริงๆ คือเกิดความเห็นขึ้นมาอย่างนั้น ส่วนมานะเป็นสภาพธรรมที่สำคัญตนว่า

สูงกว่า ด้อยกว่า เสมอกัน แต่ขณะที่สำคัญตน ขณะนั้นเกิดความเห็นขึ้นมาหรือไม่ว่ามี

เราจริงๆ มีสัตว์ บุคคลจริงๆ ในขณะที่สำคัญตน ไม่มีครับ แต่ขณะใดที่เกิดความเห็นขึ้น

มาจริงๆ เช่น เห็นคนใดคนหนึ่งแล้วเกิดความเห็น คิดขึ้นมาว่ามีคนจริงๆ มีสัตว์บุคคล

จริงๆ ทีเที่ยง อย่างนี้เป็นความเห็นผิดครับซึ่งต่างกับขณะเกิดความสำคัญตน (มานะ)

ขณะนั้นกำลังสำคัญตนว่าสูงกว่า แต่ไม่ได้เกิดความเห็นขึ้นมาว่ามีสัตว์ บุคคลจริงๆ ใน

ขณะจิตนั้น ดังนั้นไม่ได้หมายความว่าเมื่อมีคำว่าเราหรือตัวตนแล้วจะต้องเป็นสภาพ

ธรรมที่เป็นทิฏฐิคือความเห็นผิดเสมอไป แต่อาจจะเป็นเราด้วยโลภะและมานะก็ได้ครับ

ดังนั้นสภาพธรรมคือมานะและทิฏฐิจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 5    โดย ajarnkruo  วันที่ 17 ก.ค. 2552

ถ้าตามตำรา ก็คือ ขณะใดที่มานเจตสิกเกิดร่วมกับโลภมูลจิต ขณะนั้นจะต้องไม่มีทิฏฐิเจตสิกเกิดร่วมด้วย และ ขณะใดที่ทิฏฐิเจตสิกเกิดร่วมด้วยกับโลภมูลจิต ขณะนั้นจะต้องไม่มีมานเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ในความเป็นจริง ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงแล้ว สภาพธรรมในขณะนี้เกิดดับรวดเร็วมาก มากเกินกว่าจะประมาณได้ว่า เกิดดับไปแล้วกี่ขณะเพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังไม่ได้ดับทิฏฐานุสัยเป็นสมุจเฉท ก็มีโอกาสที่อกุศลประเภทนี้ จะเกิดได้อย่างรวดเร็ว สลับกับสภาพนามธรรมอื่นๆ โดยอาศัยเหตุปัจจัยจากการสะสมที่เคยยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏแล้วดับไป เช่น ยึดถือมานะที่ดับไปว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเราจริงๆ เป็นต้นครับ

เคยได้ฟังท่านอาจารย์กล่าวว่า " มีท่านหนึ่งบอกว่า ขณะที่เขากำลังสำคัญตนขณะนั้นเขารู้สึกไม่สบายใจเลย เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองหยาบ กระด้าง ไม่อ่อนโยน" ซึ่งตามความจริง มานเจตสิกจะไม่เกิดกับโทสมูลจิต แต่เพราะความรวดเร็วของสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อกัน ก็เลยทำให้คิดว่าเวลาที่มานะเกิด เหมือนกับว่ามานะนั้นเป็นโทสะ ซึ่งความจริงไม่ใช่อย่างนั้น เพราะมานะก็ต้องเป็นมานะ โทสะก็ต้องเป็นโทสะแต่เพราะเหตุที่สภาพธรรมเกิดดับสลับกันรวดเร็วและมากมาย ถ้าไม่ได้เป็นผู้มีปกติเจริญสติ และสติสัมปชัญญะที่เป็นสติปัฏฐานไม่เกิด ก็ยากที่จะรู้ตามเป็นจริงถึงความละเอียด และความแตกต่างกันของสภาพธรรมแต่ละอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แม้ในตำราจะกล่าวว่า ธรรมแต่ละอย่างก็มีลักษณะเฉพาะของธรรมนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น เห็นขณะนี้ไม่ใช่ได้ยิน เกิดไม่พร้อมกัน มานะไม่ใช่ทิฏฐิ แม้จะเกิดกับโลภมูลจิตเหมือนกัน แต่เกิดคนละขณะกัน....ถ้าเราไม่มีความเห็นถูกตั้งแต่เบื้องต้น ก็ไม่มีทางที่อวิชชา หรือ ตัวตนของเราจะรู้ได้เลยครับ


ความคิดเห็น 6    โดย wannee.s  วันที่ 18 ก.ค. 2552

คาถาธรรมบท ตัณหานี้เป็นธรรมชาติลามก มักแผ่ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ในโลก ย่อม

ครอบงำบุคคลใด ความโศกทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น ดุจหญ้าคมบางอันฝนตก

รดแล้ว งอกงามอยู่ฉะนั้น แต่ผู้ใดย่อมย่ำยีตัณหานั่น ซึ่งเป็นธรรมชาติลามก ยากที่ใคร

ในโลกจะล่วงไปได้ ความโศกทั้งหลายย่อมตกไปจากผู้นั้น ตกไปจากใบบัวฉะนั้นค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย สามารถ  วันที่ 23 ก.ค. 2552

ผมเผลออีกแล้วครับว่าแต่ละธรรมะที่เกิดขึ้นมานั้น เป็น ของ เรา ไม่มีการพิจารณาไตร่ตรองให้ดีขอบพระคุณครับ

ดังนั้น ผมเห็นว่ามานะ แสดงความเป็นตัวตนในลักษณะ ยึดถือสิ่งใดว่าสูง/เสมอ/หรือ

ต่ำกว่าสิ่งใดทิฏฐิ แสดงความเป็นตัวตนในลักษณะ ไม่มีการรู้เห็นตามความเป็นจริงว่า

เป็นธรรมซึ่งทั้งสองธรรมนั้น เกิดกับโลภเจตสิก แต่ไม่พร้อมกันใช่ไหมครับ

หาอ่านเรื่องเจตสิกเหล่านี้ได้จากพระอภิธรรม และพระสูตร (ที่มีการยกตัวอย่างเปรียบเทียบ) ได้จากส่วนใดครับ


ความคิดเห็น 8    โดย paderm  วันที่ 23 ก.ค. 2552

อ่านเพิ่มเติมได้ที่พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 65

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 474