เมื่อวันมาฆะบูชา ดิฉันได้ไปทำบุญที่วัดในจังหวัดลพบุรี อยู่ที่วัด ๓วัน ได้เวียนเทียน และทำบุญเลี้ยงพระเช้าและกลางวัน เสร็จแล้วแม่ชีก็พาขึ้นเขา ไปนั่งสมาธิในถ้ำ วันแรกเราขึ้นไปประมาณ ๑๐ คน และวันที่ ๒ ขึ้นไป ๕ คน เพื่อสวดมนต์และนั่งสมาธิ ระหว่างที่สวดมนต์อยู่นั้น ดิฉันได้ยินเสียงผู้หญิงมานั่งร้องไห้อยู่ข้างหลังดิฉัน ซึ่งข้างหลังดิฉันไม่มีใครนั่ง ดิฉันกลัวจนขนหัวลุกไปทั้งตัว เย็นวาบไปทั้งตัว พอได้สติ ก็พยายามควบคุมตัวเอง แผ่ส่วนกุศลและแผ่เมตตาให้
บอกตรงๆ ว่าไม่เคยกลัวอะไรมากมายเท่าครั้งนี้เลย ดิฉันไม่กล้าลืมตาและหันไปมอง เพราะอยู่ระหว่างสวดมนต์และแผ่เมตตา ซึ่งแม่ชีก็เคยเล่าให้ฟังว่า ที่ถ้ำแห่งนี้ จะพบกับดวงวิญญาณต่างๆ ที่เขาจะมาร่วมอนุโมทนา หรือขอรับส่วนบุญที่เราทำ ดิฉันก็ฟัง แต่ก็ไม่ค่อยเชื่อมากนัก เพราะไม่เคยเจอ มาคราวนี้เจอกับตัวเอง จึงเชื่อ เพราะไป ๕ คน ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ ๓ คน คือแม่ชี ดิฉัน และน้องอีกคนหนึ่ง ส่วนอีก ๒ คนไม่ได้ยิน ดิฉันไม่อยากเชื่อเลยว่า ทำไม ๒ คนนั้นไม่ได้ยิน ทั้งๆ ที่เสียงร้องไห้ สะอึกสะอื้นดังมาก ระหว่างนั้น ดิฉันกลัวมาก พยายามควบคุมสติตัวเอง นึกถึงว่า เป็นรูปเสียงที่มากระทบทางหู แต่ทำไม่ได้ เพราะความกลัวมีมากกว่า
อยากทราบว่า กรณีที่เราเจอเหตุการณ์แบบนี้ โดยที่ไม่คาดฝัน เราจะทำอย่างไรไม่ให้กลัว ซึ่งจริงๆ ความกลัวก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ที่ไม่สามารถบังคับบัญชาได้
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
จะทำอย่างไรได้ครับ เพราะกลัวไปแล้ว สภาพธรรมเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว รู้ไม่ใช่ให้ไม่เกิด แต่การรู้ก็เป็นอนัตตาและความกลัวก็เป็นอนัตตา สะสมปัญญาขั้นการฟังต่อไปจนกว่าจะเข้าใจ รู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นที่เกิดขึ้น โดยไม่เจาะจงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา หากแต่ว่าผู้ที่จะดับโทสะจนหมดไม่เหลืออีกเลยคือ พระอนาคามี กิเลสที่จะต้องดับก่อน คือความเห็นผิดที่ยึดถือว่า เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนครับ เป็นธรรม เป็นธรรมดา มีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น ขออนุโมทนาขอเชิญคลิกอ่านได้ที่นี่ ผู้ที่ปฏิบัติธรรม...ทำไมยังกลัวผี
ขอเชิญคลิกฟังที่นี่ครับ....จตุคามรามเทพ vs สิ่งที่ปรากฏทางตา
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
สภาพธรรมะใดเกิดปรากฏ น้อมระลึกศึกษาสภาพธรรมะนั้น ตามความเป็นจริง เป็นผู้มีปกติเจริญสติ สภาพธรรมะใดล่วงไปแล้ว ก็ดับแล้ว ไม่กลับมาอีก แต่การคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว อันไม่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญขึ้นของกุศล การคิดนั้น ก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อการอบรมปัญญาเช่นกัน ขณะที่อ่านอยู่นี้ ธรรมะแต่ละประเภทกำลังปฏิบัติกิจของธรรมะนั้นๆ โดยตลอด แต่ว่าธรรมะนั้นเป็นเราปฏิบัติ หรือธรรมะนั้นเป็นธรรมะปฏิบัติ?...อนุโมทนาครับ
ความจำในเรื่องราว และความคิดนึกต่างๆ นาๆ มีผลให้ความกลัว จะยิ่งขยายตัวมากขึ้น เห็นด้วยกับความเห็นของ คุณแล้วเจอกัน คุณajarnkruo และคุณwannee.s ค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณมากค่ะ ที่ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างมาก สำหรับดิฉันและคนอื่นๆ ดิฉันลืมไปสนิทว่า เคยเขียนเข้าไปถามเรื่องผู้ปฏิบัติธรรม ทำไมจึงกลัวผี เพราะมีน้องที่ทำงาน แกจะบอกว่ากลัวผีตลอด ซึ่งตอนนั้นดิฉัน ยังคิดว่า กลัวทำไม ไม่เห็นจะน่ากลัวเลย เขาก็อยู่คนละภพกับเรา เขาไม่ทำอะไรเราหรอก ตอนที่พูดนั้นยังไม่เจอกับตัวเอง
ครั้งนี้พอเจอกับตัวเอง ต้องยอมรับว่า กลัวมาก ไม่อยากเจอ ไม่ว่ากรณีใดๆ ตอนที่เจอ ก็ใช้วิทยายุทธทุกอย่าง ที่จะช่วยให้ความกลัวลดลง ตอนนั้นก็รู้สึกว่าสิ่งที่ได้ผลที่สุด คือการน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ตามที่คุณวรรณีบอก สามารถช่วยลดความกลัวลดลงได้บ้าง แต่ก็ยังกลัวอยู่
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้พบข่าว " พระพุทธรูปถูก..ขูดลอกทองคำ.." ไปขาย ดิฉันเกิดข้อสงสัยขึ้นมาทันทีว่า คนทั่วๆ ไป (ที่ไม่ใช่ขโมย) คงไม่กล้าไปวัดตอนดึกสงัด (รวมถึงดิฉันด้วย) เพราะกลัวเจอสิ่งที่ไม่อยากจะเจอ แต่เหล่าบรรดาพวกที่ถูกเรียกว่า ขโมยมักชอบไปลักของในยามวิกาล ก็อดสรุปเอาเองไม่ได้ว่าขโมยไม่กลัวผี แล้วทำไมเราถึงต้องไปกลัวผี หากไม่มีอะไรต่อกันเขาก็คงไม่มายุ่งกับเรา ที่กล่าวมาโปรดช่วยแสดงความเห็นด้วยค่ะ ขออนุโมทนา
ความกลัว เป็นสภาพธรรม เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมต้องเกิด แต่จะเกิดกับใคร เป็นขโมยหรือไม่ใช่ขโมย จะเกิดเวลาใด ไม่มีใครรู้ ขโมยยังเป็นคนธรรมดา คนทุกคนต้องมีความกลัว จะกลัวมากน้อยอย่างไร อยู่ที่การสะสม และการเกิดขึ้นของจิตแต่ละขณะ ในคนเดียวกันก็ไม่เหมือนกัน บ้างวันคนเดียวกันกลัวมากน้อยต่างกัน จิตแต่ละขณะที่เกิดย่อมเป็นไปตามสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง ที่คิดว่าเราหรือขโมยไม่กลัว ก็เป็นจิตอื่นที่คิด ไม่ใช่โทสะคิด ขออนุโมทนาค่ะ
เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ ๗ ที่ว่า เรื่องของความกลัวนั้น แล้วแต่เหตุปัจจัยจริงๆ เพราะก่อนหน้านั้น เคยคิดว่าถ้าเจออะไร ตามที่มีคนมาเล่าให้ฟัง เราคิดว่าไม่กลัวนะ แต่พอเจอเหตุการณ์จริง มันรู้สึกคนละอย่างกับที่เราคิดไว้ตอนแรก ที่ว่าไม่กลัวนั้น ตรงกันข้ามเลย คือ กลัวมากกลัวน้อย แล้วแต่การสะสมและเหตุปัจจัยจริงๆ
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไปแล้ว ก็มาพิจารณาทบทวนดู ทำให้เข้าใจตนเองมากขึ้นว่าเรายังมีความประมาท คิดว่าจิตของเรา ได้รับการฝึกมาดีแล้ว คงมีความเข้มแข็งไม่หวั่นไหว เมื่อมีสิ่งมากระทบ แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะเรายังมีความหวั่นไหวเมื่อมีสิ่งที่มากระทบคงต้องสะสมเหตุปัจจัยต่อไปอีกนานแสนนาน จนไม่หวั่นไหวกับสิ่งต่างๆ ที่มากระทบกับทวารทั้ง ๖
กลัวทั้งนั้นแลหะครับ ขโมยก็กลัว แต่อยากได้ของมากกว่า..จิตเกิดดับสลับกันเร็วมาก