ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๔๒ * *
~ พระภิกษุทุกรูป ไม่มีเรื่องที่เกี่ยวกับเงินทองใดๆ ทั้งสิ้น ภาระหรือกิจธุระของท่านก็คือศึกษาพระธรรมวินัยและประพฤติปฏิบัติในเพศของบรรพชิตตามพระวินัย
~ พระภิกษุ ยินดีในอะไร? ยินดีในการเข้าใจพระธรรม ในการสละชีวิตเพื่อศึกษาพระธรรมและขัดเกลากิเลสต่างจากเพศคฤหัสถ์โดยต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยทุกข้อ จึงจะเป็นการเคารพและจริงใจต่อการที่สละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต
~ ความสำคัญของวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาคืออย่างไร? สำคัญสำหรับคนฟังหรือเปล่า? ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมเลยวันนี้สำคัญอย่างไร ไม่ได้เป็นประโยชน์กับคนนั้นเลย แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่าธรรมได้อุบัติขึ้นในใจของแต่ละคนบ้างไหม? ไม่ใช่ว่าคิดถึงแต่ว่าวันนี้สำคัญ ถึงเวลาก็ใส่บาตรหรือสวดมนต์หรืออะไรอย่างนั้น แต่ที่สำคัญที่สุด คือ ได้มีความเข้าใจในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีแล้วก็ตรัสให้เราฟังคำจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็กำลังมี
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไตร่ตรอง เพื่อความเป็นคนตรงที่จะรู้ความจริง ปัญญาอาจหาญที่จะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ด้วยความเป็นมิตรที่แท้จริง คือ อนุเคราะห์ให้คนฟังไตร่ตรองแล้วก็เริ่มเข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีขณะนี้ ต่อไปอีกกี่ขณะก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ แต่ละขณะมีค่าอย่างยิ่งในชีวิต
~ ฟังพระธรรม ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ความจริงเป็นอย่างนี้ ฟังไว้แล้วก็ฟังต่อไปอีก ค่อยๆ ละความติดข้องที่เข้าใจผิดว่าเป็นเรามาตั้งแต่เกิดจนกว่าจะตาย
~ สิ่งที่ไม่มีในฝัน ฉันใด สิ่งที่เราคิดว่ามีเดี๋ยวนี้ ก็ไม่มีแล้ว เพราะว่าเกิดจริงๆ มีจริงๆ ดับไปแล้ว หมดจริงๆ แต่ไม่รู้
~ ยากแสนยาก กว่าจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้ ตัวอย่างเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและชีวิตของพระสาวกทั้งหลาย เพราะฉะนั้นต้องฟังด้วยการรู้ว่า ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับฟังมากเท่าไหร่ แต่ว่า ฟังทุกคำ ด้วยการไตร่ตรองในความลึกซึ้งอย่างยิ่งสุดที่จะประมาณได้ เพราะว่า ต้องรู้ความจริงตรงตามที่ได้ฟัง ซึ่งเป็นความจริงที่รู้ได้ แต่ไม่ใช่วันนี้
~ ถ้าไม่มีการฟังให้เข้าใจเดี๋ยวนี้ในสิ่งที่กำลังมี ก็ไม่มีวันที่จะสามารถรู้ว่าทุกคำที่ได้ฟังเป็นความจริงที่สามารถรู้ได้ แต่ด้วยความอดทน ด้วยความเคารพจริงๆ ว่า ต้องมีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งในขณะนี้ สิ่งที่ไม่ปรากฏมีมาก แต่เฉพาะสิ่งที่ปรากฏ ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะอีกนานเท่าไหร่ ก็คือ เป็นผู้ฟัง เพื่อละ ไม่ใช่เพื่อความเป็นตัวตนที่ต้องการจะรู้
~ พระธรรม ทุกคำ นำไปสู่การละความหลงเข้าใจผิดในสังสารวัฏฏ์นานแสนนาน ว่า มีเราทุกชาติ ขณะนี้ก็เป็นเราที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ แต่ความจริง ก็คือ ไม่มีเรา มีความมั่นคงแน่ใจหรือยังว่าไม่มีเรา เพียงฟังขณะนี้ มีทุกอย่าง แต่แต่ละอย่างไม่ใช่เราและก็ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเที่ยงยั่งยืน เคยยึดถือว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มานานโดยไม่รู้ความจริงเลย ว่า ถ้าไม่มีสิ่งที่เกิดขึ้น จะมีความเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรๆ แต่ที่ไหนได้ แม้แต่ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ของเห็น ของได้ยิน จะมีเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้น นี่ก็แสดงให้เห็นความต่างของปัญญาที่รู้ความจริง แม้แต่คำที่ตรัสไว้ว่า อนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา ต้องเป็นคำจริง เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ฟังเพื่อประโยชน์ว่าเป็นเราที่เข้าใจเป็นเราที่เก่ง เป็นเราที่สามารถเป็นเราที่เป็นคนดี เป็นอะไรทุกอย่าง นั่นคือ ไม่เข้าใจเพียงแต่คำว่าอนัตตา ทุกอย่างทุกสิ่ง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ไม่ให้เป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้
~ ใครจะไปประจักษ์แจ้งธรรมรู้ความจริงโดยไม่ใช่ปัญญา เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น สำนักปฏิบัติไม่ได้ทำให้คนที่ไปเกิดปัญญาอะไรเลยทั้งสิ้น ค้านกับความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมอย่างสิ้นเชิง และ การมีสำนักปฏิบัติ ก็ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ เมื่อได้ฟังได้ศึกษาพระธรรม ความเข้าใจก็จะเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ ความมั่นคงในหนทางที่ถูก และการเห็นความสำคัญของการอบรมเจริญปัญญา ก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปตามลำดับด้วยเช่นกัน
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณา รู้ว่า ชาวโลกถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ ไม่มีทางที่จะรู้อะไรเลยทั้งสิ้นตั้งแต่เกิดจนตาย ชาวพุทธเข้าใจอย่างนี้หรือเปล่า ว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำเป็นคำที่ฟังแล้วไม่ใช่เข้าใจได้ทันที ฟังแล้วต้องไตร่ตรองจนกระทั่งมีความเข้าใจว่าทุกคำถูกต้องตามความเป็นจริงและกำลังมีในขณะนี้
~ ผู้ที่เป็นเพื่อน คือ ผู้ที่มีความหวังดีต่อกัน เพราะฉะนั้น จะไม่มีการทำร้าย จะไม่มีการเบียดเบียนหรือแม้แต่คิดร้ายหรือโกรธ
~ สิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นเพื่อนที่หวังดีหรือแม้แต่ตัวเราที่จะเป็นเพื่อนที่หวังดีต่อใคร ก็ต้องให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลนั้นด้วย
~ สิ่งที่มีจริง ละเอียดมาก กว่าที่เราจะรู้ความจริงได้ ก็ต้องฟังพระธรรมและพิจารณา เป็นความรู้ความเข้าใจของตนเอง
~ ความดี ต้องเป็นความดี ความชั่วต้องเป็นความชั่ว และความชั่วต้องให้ผลไม่ดีด้วย อย่างที่เห็น และ ถ้ายิ่งชั่วมาก ก็ (ให้ผล) มากกว่าที่เราคิดว่าจะเป็นไปได้ แม้ว่าจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ตกนรก เกิดเป็นเปรต หรือเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานแน่นอน
~ ไหนๆ ก็เกิดมาแล้ว ก็เข้าใจให้ถูกต้องว่าเกิดมาแล้ว ประโยชน์ ก็คือ แทนที่จะเป็นคนที่ทำความชั่วที่ให้ผลกับตนเองและไม่เป็นประโยชน์คนอื่นด้วย ก็เริ่มที่จะเห็นว่าไม่สมควรที่จะทำให้คนอื่นเดือดร้อนและขณะที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ตัวเองก็เดือดร้อนด้วย ไม่ได้เดือดร้อนเฉพาะคนที่เราไปทำเขาให้เดือดร้อนแต่เราเองก็กำลังเดือดร้อนแน่นอน ด้วยเหตุนี้ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ไตร่ตรอง แล้วเป็นผู้มั่นคงในความจริง
~ ควรเห็นโทษของอกุศลกรรม แล้วเมตตาในทุกคนที่กำลังได้รับผลของอกุศลกรรม อย่าให้เราเป็นคนที่ทำกรรมนั้น ถ้าคิดอย่างนี้ก็สบาย
~ ทุกคนต้องตายทั้งนั้น แต่ขอให้เห็นถูกในโทษของอกุศล จนไม่ทำอกุศลกรรม
~ ธรรมที่เป็นประโยชน์ เป็นคุณ ไม่ให้โทษเลย ก็คือ อโลภะ (ความไม่ติดข้อง) ถ้าเป็นได้จริงๆ ทีละเล็กทีละน้อยจะสบายสักแค่ไหน ไม่เดือดร้อนที่จะต้องแสวงหา ไม่เดือดร้อนเมื่อสิ่งนั้นพลัดพรากจากไป เพราะเหตุว่าไม่ติดข้อง แต่แสนยาก เพราะติดข้องมานานแสนนาน มีหนทางเดียวคือ ปัญญา ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง
~ ผู้เป็นพุทธบริษัทที่เห็นประโยชน์สูงสุดของการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีและทำให้คนอื่นได้เข้าใจถูกเห็นถูกสืบต่อกันมา ก็ควรรักษาดำรงความเห็นถูกในพระศาสนาสำหรับตนเอง และเมื่อตนเองมีความเห็นถูกต้องก็สามารถช่วยคนอื่นให้ได้รับฟัง ได้พิจารณา ได้ไตร่ตรองและมีความเห็นถูก ด้วยความหวังดีด้วย
~ เข้าใจธรรม เป็นบุญหรือเปล่า? เป็นบุญ ไม่ยากที่จะไปขวนขวายที่ไหน โอกาสไหนก็ได้ที่เป็นสิ่งที่ดีก็ทำ เพราะว่า ถ้ากุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นอกุศลก็เกิด ต้องไม่ประมาทแม้กุศลเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ เพราะว่า ถ้าขณะนั้น อกุศลเกิด ก็ทำสิ่งที่ดีงามไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ทำดี เพราะรู้ว่า ถ้าไม่ทำดี ก็เป็นอกุศล
~ ถ้าเริ่มฟัง เริ่มศึกษาพระธรรมด้วยความตั้งใจจริงๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เข้าใจ
~ เริ่มต้นถูก คือ เริ่มฟังธรรมทีละคำ
~ มีความไม่รู้มาโดยตลอด ตั้งแต่เกิดจนตายกี่ภพกี่ชาติ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่คำของบุคคลอื่นเลย
~ อกุศลหรือกิเลสทั้งหลาย ติดตามมามากมาย จนเป็นเหตุให้ทำทุจริตต่างๆ ซึ่งทุจริต เป็นโทษ แล้วใครจะมีพระมหากรุณาแสดงธรรมให้พ้นจากโทษคือความไม่รู้และความติดข้องซึ่งเหตุให้ทำอกุศลกรรมซึ่งจะนำมาซึ่งผลที่ไม่ดี? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ หนทางเดียวที่จะแก้ทุกอย่างที่เลวร้ายได้ ก็คือ ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็จะเห็นชั่วเป็นดี แล้วประพฤติชั่วแล้วคิดว่าไม่มีผล แต่ความจริง ทั้งหมดเป็นธรรม ธรรมที่เป็นเหตุเกิดแล้วต้องเป็นปัจจัยให้เกิดธรรมที่เป็นผลของเหตุนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ละเอียดมากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความละเอียดของธรรมที่เป็นเหตุ คือ กรรม และ ธรรมที่เป็นผล คือ วิบาก
~ ปัญญา เห็นถูกต้อง ว่า ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว ปัญญานั้นเองก็จะรู้ว่าควรจะอบรมเจริญสิ่งใดให้มากขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้ามีปัญญาแล้ว ความดีทั้งหลายก็เจริญขึ้น ความไม่ดีทั้งหลายก็ลดน้อยลงจนไม่เหลือได้
~ ถ้าไม่ฟังพระธรรม ไม่มีทางเลยที่จะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร และทรงแสดงอะไร ไม่มีทาง นั่งเฉยๆ อยู่ดีๆ แล้วคิดว่าจะรู้พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปไม่ได้
~ มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ฟัง แล้วจะรู้อะไรได้.
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๔๑
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนา
กราบบูชาคุณพระรัตนตรัยด้วยการศึกษาพระธรรมโดยเคารพสูงสุด
... ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบท่านอาจารย์ และอนุโมทนาสาธุค่ะการที่จะเห็นความจริงของพระธรรมก็ควรฟังคำสอนของพระศาสดาและก็ควรไตร่ตรองและตรงต่อความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับแล้วก็เห็นเกิดขึ้นทุกสิ่งเป็นที่ให้จิตนี้เรียนรู้ว่านี้กุศลนี้อกุศลแต่ก็เป็นเพียงธรรมที่เกิดทีละหนึ่งตามเหตุปัจจัยเท่านั้นไม่ใช่ของเราและไม่ใช่เราเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสสัมผัสตามเหตุที่เคยกระทำมาสร้างเหตุผลก็ย่อมมี
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะท่านอาจารย์และกัลยานมิตทุกท่านค่ะ
กราบขอบพระคุณ และอนุโทนาสาธุค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นประโยชน์ที่สุดในชีวิตที่ได้เกิดมา
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ และอนุโมทนายินดีในกุศลทุกท่านด้วยความเคารพค่ะ