เพียงชั่วขณะจิตเดียวที่จุติจิตเกิดแล้วดับ จะเป็นทุกข์ไหม ชั่วขณะจิตเดียวนั้นไม่รู้สึกเป็นทุกข์เลย แต่ทุกข์เกิดก่อนนั้น แม้มรณะนี้ ตัวเองก็ไม่เป็นทุกข์ แต่พระผู้มีพระภาคตรัสว่าทุกข์ โดยเป็นวัตถุที่ตั้งแห่งทุกข์คือ เป็นวัตถุที่ตั้งแห่งทุกข์ ๒ อย่างคือ ทุกข์กายและทุกข์ใจ เพราะว่า โดยทั่วๆ ไปเวทนาที่เกิดก่อนจุตินั้น เผาสรีระ อุปมาดุจคบหญ้าติดไฟที่ถือไว้ทวนลม แต่สำหรับบางท่านนั้นง่ายเหลือเกิน ตายแล้วเกิดก็เหมือนหลับแล้วตื่น เพียงหลังจากเห็นเมื่อจักขุทวารวิถีจิตดับหมดแล้ว จุติจิตก็เกิดได้ หรือหลังจากที่ภวังคจิตเกิดต่อจากจักขุทวารวิถีแล้ว หรือต่อจากโสตทวารวิถี ฆานทวารวิถี ชิวหาทวารวิถี กายทวารวิถีแล้ว จุติจิตก็เกิดได้
ฉะนั้น จึงเป็นปกติเหมือนอย่างนี้ ความจริงที่เปรียบการตายแล้วเกิดคล้ายกับหลับตาแล้วลืมตานั้นก็ยังช้าไป คือเพียงชั่วขณะจุติจิตขณะเดียวเกิดขึ้นและดับไป และปฏิสนธิจิตเกิดต่อเพียงหนึ่งขณะนั้น จะเร็วสักแค่ไหน ฉะนั้น ผู้ที่ไม่มีทุกขเวทนาแรงกล้าก่อนจุติจิตคือก่อนตายนั้น ก็แล้วแต่กรรมซึ่งแต่ละท่านได้กระทำมา เพราะการที่กายจะกระทบกับรูปใด แล้วเป็นปัจจัยให้จิตที่เป็นผลของกรรม คือเป็นวิบากจิตเกิดกับสุขหรือทุกขเวทนานั้น ต้องเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว
ถ้าเป็นผู้ที่พร้อมจริงๆ จะไม่น่ากลัวเลย เพราะว่าทันทีที่จุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตก็เกิดต่อทันที เมื่อยังไม่หมดกิเลส ยังไม่ใช่พระอรหันต์ก็จะต้องเกิดอีกแน่นอน จะกลัวตายไหม เพราะเมื่อจุติจิตเกิดและดับไปแล้ว ปฏิสนธิจิตก็เกิดต่อทันที จะเสียดายภพนี้ ชาตินี้ไหม ซึ่งก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่ยังอยากจะอยู่ต่อไปอีกหรือไม่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าเมื่อมีขันธ์เกิดขึ้นปรากฏที่จะไม่ยินดี พอใจ ยึดมั่นในขันธ์นั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่ถึงจุติจิต ก็ย่อมมีความยินดีพอใจในชีวิต ในภพ ในขันธ์ เมื่อมีความยินดี พอใจในชีวิต ในภพ ในขันธ์ แต่กำลังจะจากไป มรณะหรือความตายนั้นจึงเป็นวัตถุที่ตั้งแห่งทุกข์ ๒ อย่าง คือ ทุกข์กาย ๑ และ ทุกข์ใจ ๑ และอีกประการหนึ่ง เพราะความตายนี้ เป็นวัตถุที่ตั้งแห่งทุกข์ทางใจ ซึ่งมีแก่คนบาปที่กำลังจะตาย ผู้กำลังเห็นนิมิตมีกรรมชั่ว เป็นต้น อยู่โดยลำดับ
ขอเชิญคลิกอ่านตอนต่อไป ...
แด่ผู้มีทุกข์
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ