ขออนุญาติเรียนถามคณะอาจารย์และผู้มีความรู้เกี่ยวกับพระอภิธรรมครับ จากการ สังเกตทางโลก ไม่รู้สึกว่าเห็นความตายใด มีสภาพธรรมอันเป็นสุขหรือกุศลวิบาก เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสิ้นลมหายใจเลย สุดท้ายมักจะเห็นอาการของคนเป็น ทุกข์ขณะตายไม่มากก็น้อยเสมอ เช่น สมมติว่าคนบังเอิญมีความสุขปิติหลังจากได้ช่วย ชีวิตผู้อื่นแต่อยู่ดีดีก็หัวใจวายขึ้นมา หรือแม้กระทั่งพระสงฆ์ที่บางครั้งก็รู้สึกว่าจิตท่าน น่าจะเข้าถึงความสงบเป็นสมาธิสมาบัติได้ แต่จากสายตาคนทางโลกก็จะเห็นว่าร่างของ ท่านก็ดูเหมือนเป็นผู้ป่วยหรือชราไม่มีแรงกายที่จะพยุงตัวเองได้ อันแสดงให้เห็นถึง ความทุกข์ทางกายก่อนจิตสุดท้ายเสมอเสมอ จึงทำให้สงสัยว่า
1. อะไรเป็นปัจจัยให้ทุกข์กายต้องเกิดก่อนจิตสุดท้ายทุกครั้ง บ้างก็นานต่อเนื่องเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี บ้างก็สั้นสั้น เช่น หัวใจวาย
2. ปฏิสนธิจิตไม่ใช่ปัจจัยให้เกิดทุกข์ทางกายก่อนตายเสมอนั้นใช่ไหมครับ จึงน่าจะเป็น กรรมอื่น แต่ที่น่าแปลกทำไม จะต้องเป็นอกุศลวิบากที่ส่งผลทุกข์ให้ร่างกายเสื่อมหรือ หยุดการทำงานทุกครั้งไป เช่น เลือดหยุดไปเลี้ยงสมอง หรือหัวใจหยุดเต้น มีโอกาสที่ กุศลวิบากเกิดยาวต่อเนื่อง โดยไม่มีอกุศลวิบากเกิดเข้ามาแทรกจนจิตสุดท้ายเกิดได้ หรือไม่ครับ เช่น ไม่มีปัญหาสุขภาพแล้วขณะทำทานจิตสุดท้ายก็เกิดขึ้นมาเฉยเฉย
3. บางครั้งมองแบบทางโลกก็ดูเหมือนกายแตกดับเป็นเหตุให้จิตจุดท้ายต้องเกิดไป ซึ่ง ไม่น่าจะถูกต้องใช่ไหมครับ หรือว่า อกุศลวิบากที่แรงถึงขั้นร่างกายเสื่อมอย่างที่ทางโลก เรียกว่าใกล้ตายเท่านั้น จะเป็นปัจจัยให้จิตสุดท้ายเกิดได้ครับ
4. ปฏิสนธิจิตหลังเกิดขึ้นแล้ว เหตุและปัจจัยที่จะทำให้เกิดจิตสุดท้ายเกิดหรือความตาย มีก่อนล่วงหน้าแล้ว หรือยังไม่แน่นอนซึ่งกรรมภายหลังก็อาจเป็นปัจจัยให้จิตสุดท้ายเกิด ก่อนหรือหลังก็ได้เช่นกันครับ
แต่ที่เห็นได้ชัดคือ กายคนอายุมักจะไม่เกิน 100-120 ปี ก็หมายความว่าจิตสุดท้ายมี ลักษณะเฉพาะคือจะเกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่เกิน 100-120 ปีเสมอ อย่างนั้นด้วยหรือ เปล่าครับ หากขึ้นกับปัจจัยที่ทำให้จิตนั้นเกิดอย่างเดียวทำไมถึงมีเวลาเหมือนอายุทาง กายจำกัดเวลาเกิดของจิตสุดท้ายอยู่
ขออภัยที่ถามยาวครับ ต้องการเสริมความเข้าใจความรู้เกี่ยวกับจิต
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำหรับความทุกข์กายที่เกิดขึ้น ในสัจจะความจริง ที่เป็นพระอภิธรรม คือ ขณะจิตที่ เป็นทุกขกายวิญญาณ ที่เป็น วิบากจิต เป็นผลของกรรม อันเกิดจากกรรมที่เป็น อกุศลกรรมให้ผล ทำให้เกิด ทุกข์ทางกาย ที่เป็น ทุกขกายวิญญาณ มีความเจ็บปวด เป็นต้น ครับ
1. อะไรเป็นปัจจัยให้ทุกข์กายต้องเกิดก่อนจิตสุดท้ายทุกครั้ง บ้างก็นานต่อเนื่องเป็น วันเป็นเดือน เป็นปี บ้างก็สั้นสั้น เช่น หัวใจวาย
ทุกข์กาย เกิดขึ้นได้ ก็เพราะ มีอกุศลกรรมเป็นปัจจัย ซึ่ง หากไม่มีอกุศลกรรมให้ผล แล้ว ก็ไม่มีทางเกิดทุกข์ทางกายเกิดขึ้น ซึ่งในความเป็นจริง ทุกข์ทางกายเกิดขึ้นใน ชีวิตประจำวัน โดยไม่รู้ตัวเลย เพราะ ไม่ได้มีเวทนาแรงกล้า เช่น ขณะที่กระทบแข็ง ขณะนั้น ก็เป็นทุกขกายวิญญาณได้ ที่ ทำให้กระทบกับรูป ทางกายที่ไม่ดี มีความ แข็ง เป็นต้น ก็มี ทุกขกายวิญญาณแล้ว ดังนั้น ตั้งแต่เกิดจนถึงก่อนตาย มีทุกขกาย วิญญาณนับไม่ถ้วน มากกว่า ทุกขกายวิญาณ ในขณะก่อนตายมากมาย และบางครั้ง แม้จะยังไม่ตาย ก็มี อกุศลวิบากที่เป็นทุกขกายวิญญาณเกิดขึ้นมีกำลังมากก็ได้ และ ก็หายไป และไม่ตายก็ได้ เพราะฉะนั้น ก็อาศัย อกุศลกรรมที่มีกำลังเป็นปัจจัย ทำให้ ได้รับอกุศลวิบาก ที่เป็นทุกขกายวิญญาณ ทุกข์กายเกิดขึ้น ครับ ดังนั้น ไม่ว่าจะก่อน ตาย หรือ ใกล้ตาย ทุกขกายวิญญาณก็เกิดเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่จะมีกำลังกล้า หรือไม่ ซึ่งขณะที่ก่อนตาย ก็แล้วแต่ครับว่า ใครจะได้รับทกุขกายมาก ใครจะได้รับ ทุกข์กายน้อย ก็ขึ้นอยู่กับ อกุศลกรรม ที่ได้ทำมาจะให้ผลหรือไม่ในขณะก่อนตาย
บางคน อกุศลกรรมให้ผล ที่ไม่มีกำลังมาก ทุกข์กายก็ไม่มากก่อนตาย บางคน อกุศลกรรมที่ให้ผล มีกำลังมากในอดีตชาติที่ได้ทำมา ก็ทำให้ได้รับ อกุศลวิบากทาง กาย เป็นทุกข์กายมากในขณะก่อนตาย และ การจะนานต่อเนื่อง หรือไม่นาน ก็เพราะ มีกรรม ที่เป็นอกุศลกรรมเป็นปัจจัยเช่นกัน ถ้าอกุศลกรรมในอดีตให้ผลมาก ก็เจ็บปวด บ่อย ยาวนาน ตามกำลังของอกุศล แต่สำหรับผู้ที่มีบุญมาก อกุศลกรรมไม่ให้ผล ก่อนตายก็ได้ เพราะ อกุศลกรรมไม่ให้ผล ซึ่งก็มี แต่มีน้อย ซึ่งโดยมากที่เราเห็นคน ส่วนมาก เจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานก่อนตาย ก็เพราะว่า ในสังสารวัฏฏ์ สัตว์โลกทำ อกุศลกรรมโดยมาก ทำกุศลน้อยมาก เพราะฉะนั้น เมื่อใกล้ตาย เพราะ อาศัยโรคที่ เกิดขึ้นอันมีกรรมเป็นปัจจัย กรรมที่เป็นอกุศลกรรม ยังอุปถัมภ์ให้ผลต่อเนื่อง ก็ทำให้ เจ็บปวด ทรมาน อันอาศัยกรรม ที่เคยทำอกุศลกรรมในสังสารวัฏฏ์ในอดีตที่ทำมามาก มายให้ผล ครับ
2. ปฏิสนธิจิตไม่ใช่ปัจจัยให้เกิดทุกข์ทางกายก่อนตายเสมอนั้นใช่ไหมครับ จึงน่า จะเป็นกรรมอื่น แต่ที่น่าแปลกทำไม จะต้องเป็นอกุศลวิบากที่ส่งผลทุกข์ให้ร่างกาย เสื่อมหรือหยุดการทำงานทุก ครั้งไป เช่น เลือดหยุดไปเลี้ยงสมอง หรือหัวใจหยุดเต้น มีโอกาสที่กุศลวิบากเกิดยาวต่อเนื่องโดยไม่มีอกุศลวิบากเกิดเข้ามาแทรกจนจิต สุดท้ายเกิดได้หรือไม่ครับ เช่น ไม่มีปัญหาสุขภาพ แล้วขณะทำทานจิตสุดท้ายก็เกิด ขึ้นมาเฉยเฉย
ปฏิสนธิจิต ไม่ใช่เป็นปัจจัยให้เกิด ทุกขกายวิญญาณ ที่เป็นทุกข์กาย ก่อนตาย แต่ อกุศลกรรมที่เคยทำในอดีต เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์กาย ก่อนตาย ส่วนโรคบาง โรคก็เกิดจากกรม คือ อกุศลกรรมเป็นปัจจัยได้ และไม่มีใครรู้ได้ว่า ขณะที่ผู้ป่วย นอน สงบเงียบ จะไม่มีทุกข์ทางกาย เพราะทุกข์ทางกาย ตามที่กล่าวมา ไม่ใช่จะต้องมี ระดับรุนแรง เพียง กระทบแข็ง ก็เป็นทุกข์ทางกายได้ เพียงแต่เล็กน้อยมาก ส่วนใครจะได้รับอกุศลวิบากหรือไม่ ก็แตกต่างกันไป ตามกรรมของแต่ละคน ครับ
3. บางครั้งมองแบบทางโลกก็ดูเหมือนกายแตกดับเป็นเหตให้จิตจุดท้ายต้องเกิด ไป ซึ่งไม่น่าจะถูกต้องใช่ไหมครับ หรือว่า อกุศลวิบากที่แรงถึงขั้นร่างกายเสื่อมอย่างที่ ทางโลกเรียกว่าใกล้ตายเท่า นั้นจะเป็นปัจจัยให้จิตสุดท้ายเกิดได้ครับ
ไม่เสมอไปครับ เพราะ ทุกขกายวิญญาณ ไม่เป็นปัจจัยให้เกิด จุติจิต หรือ ตายได้ เพราะ แม้บางคน เจ็บปวดมาก ไม่ตายก็มี บางคน เจ็บปวดน้อยมาก จุติเกิดก็มี แล้ว แต่ว่า จะสมควถึงเวลาที่จุติจิตเกิดเมื่อไหร่ ก็สามารถเกิดได้ ครับ
4. ปฏิสนธิจิตหลังเกิดขึ้นแล้ว เหตุและปัจจัยที่จะทำให้เกิดจิตสุดท้ายเกิดหรือความ ตายมีก่อนล่วงหน้าแล้ว หรือยังไม่แน่นอนซึ่งกรรมภายหลัง ก็อาจเป็นปัจจัยให้จิต สุดท้ายเกิดก่อนหรือ หลังก็ได้เช่นกันครับ
แต่ที่เห็นได้ชัดคือ กายคนอายุมักจะไม่เกิน 100-120 ปี ก็หมายความว่าจิตสุดท้ายมี ลักษณะเฉพาะคือจะเกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่เกิน 100-120 ปีเสมอ อย่างนั้นด้วย หรือเปล่าครับ หากขึ้นกับปัจจัยที่ทำให้จิตนั้นเกิดอย่างเดียวทำไมถึงมีเวลาเหมือน อายุทางกายจำกัดเวลาเกิดของจิตสุดท้ายอยู่
การเกิดขึ้นของจุติจิต คือ ตาย อาศัยเหตุปัจจัยหลายๆ ประการ ซึ่งสำหรับภพภูมิ มนุษย์ ก็ได้กำหนดตามอายุขัยของช่วงเวลานั้นว่าอายุเท่าไหร่ ก็ตายไม่หลังจาก อายุขัยเกินไป เพราะ ร่างกายของบุคคลนั้น ที่เป็นรูปที่เสื่อมไปมาก ย่อมไม่ควรแก่ การทำงานต่อไปนี่ก็เป็นปัจจัยหนึ่ง ของความตาย แต่ปัจจัยหลัก คือ กรรมเป็นปัจจัย ทำให้จุติจิตเกิดขึ้น และ อาจจะตายก่อนอายุขัยก็ได้ ด้วยอำนาจกรรมอีกเช่นกัน ที่ เป็นอกุศลกรรมที่มีกำลังมาตัดรอนให้จุติกิด ตายก่อนวันอันควร เช่น ตายในครรภ์ เพราะ กรรม คือ การฆ่าสัตว์ ตัดรอนทำให้อายุสั้น เป็นต้น ครับ
เพราะฉะนั้น ไม่มีใครที่จะหนีกรรมไปได้ ตราบใดที่ยังเกิด มีร่างกาย แม้แต่ พระพุทธเจ้าก็ยังไม่พ้นจากรรม ไม่พ้นจากความเจ็บ หากได้อ่านรายละเอียดใน พระพุทธประวัติ และ อดีตกรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะเข้าใจประเด็นเรื่องนี้ได้ เป็นอย่างดี เพราะ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ทรงลงโลหิต ถ่ายเป็นเลือด อย่างมาก ได้รับเวทนา ทุกข์กายเป็นอย่างมาก แม้กำลังของพระองค์ที่เท่ากับกำลัง ของช้างนับเชือกไม่ถ้วน ยังต้องหมดไป เพราะ ความป่วยครั้งนี้ เพราะฉะนั้น ก่อน จุติของพระพุทธเจ้า พระองค์ก็เจ็บป่วยอย่างหนัก แต่บางคนในสมัยปัจจุบันก็ไม่ เจ็บป่วย เท่าพระพุทธเจ้าแล้วตายก็มี เพราะอะไรถึงแตกต่างกัน เพราะ ต่างกัน โดยอกุศลกรรมให้ผล หรือ ไม่ให้ผลมาก หรือ ไม่มาก ก่อนจุติ ซึ่งพระพุทธองค์ ก็ทรงแสดงอดีตกรรมของพระองค์ที่ถ่ายเป็นเลือดก่อนปรินิพพานว่า ในอดีตชาติ เราเกิดเป็นคนปรุงยา ปรุงยาให้บุตรเศรษฐี เพราะ เขาไม่ให้ทรัพย์ จึง ปรุงยาอีก ขนาน ให้ถ่ายสำรอกออกมา ด้วยผลของกรรมนั้น เมื่อเราใกล้ปรินิพพาน ก็ทำให้ เรา ลงโลหิต ถ่ายเป็นเลือด เพราะ อกุศลกรรมให้ผล แม้เป็นพระพุทธเจ้า กรรมเก่า ก็ไม่ละเว้น ทำให้เจ็บป่วยก่อนปรินนิพาน ครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก ดังนี้
[เล่มที่ 70] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้าที่ 235
ปัญหาข้อที่ ๑๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
การถ่ายด้วยการลงพระโลหิต ชื่อว่า อติสาระ โรคบิด ได้ยินว่าในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลคหบดี เลี้ยงชีพด้วยเวชกรรม พระโพธิสัตว์นั้น เมื่อจะเยียวยาบุตรของเศรษฐีคนหนึ่งผู้ถูกโรคครอบงำจึงปรุงยาแล้วเยียวยา อาศัยความประมาทในการให้ไทยธรรมของบุตรเศรษฐีนั้น จึงให้โอสถอีกขนานหนึ่ง ได้กระทำการถ่ายโดยการสำรอกออก เศรษฐีได้ให้ทรัพย์เป็นอันมาก ด้วยวิบากของกรรมนั้น พระโพธิสัตว์จึงได้ถูกอาพาธด้วยโรคลงโลหิตครอบงำในภพที่เกิดแล้วๆ ในอัตภาพ หลังสุดแม้นี้ ในปรินิพพานสมัย จึงได้มีการถ่ายด้วยการลงพระโลหิต ในขณะที่เสวยสูกรมัททวะที่นายจุนทะกัมมารบุตรปรุงถวาย พร้อมกับพระกระยาหารอันมีทิพ โอชะที่เทวดาในจักรวาลทั้งสิ้นใส่ลงไว้ กำลังช้างแสนโกฏิเชือก ได้ถึงความสิ้นไป
ในวันเพ็ญเดือน ๖ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินไปเพื่อต้องการปรินิพพาน ในเมืองกุสินารา ประทับนั่งในที่หลายแห่ง กระหายน้ำ ทรงดื่มน้ำ ทรงถึงเมือง กุสินาราด้วยความลำบากอย่างมหันต์ แล้วเสด็จปรินิพพานในเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง แม้พระผู้เป็นเจ้าของไตรโลกเห็นปานนี้ กรรมเก่าก็ไม่ละเว้น
ประโยชน์ของการพิจารณา ทุกข์ทางกาย ก็เพื่อให้กับไปหาที่เหตุ คือ เป็นเพราะ อกุศลกรรมที่ได้ทำมา ผู้ที่ไม่อยากได้รับโทษทางกาย ก็ต้องไม่ประมาทในการจะ ไม่ทำอกุศลกรรม อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ และเหตุที่แท้จริง ก็เพราะอาศัยกิเลสที่มี อยู่ทำให้มีการทำอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นไม่มีใครที่จะสามารถห้ามวิบากได้ ตราบใด ที่ยังมีรูป ร่างกายอยู่ สำคัญที่ ละ สิ่งที่เป็นต้นเหตุ เพื่อที่จะไม่ต้องมีการเกิด มีรูป ร่างกาย เพราะ เมื่อไม่มีการเกิด ไม่มีรูปร่างกาย ก็ไม่ต้องทุกข์ ก็อบรมเหตุที่จะละ อวิชชา กิเลสประการต่างๆ ด้วยการเจริญอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม ในชาติที่ได้ พบพระพุทธศาสนาในเวลาที่เหลือน้อยอยู่ในขณะนี้ นี่คือ ประโยชน์ของการ พิจารณาทุกข์ทางกาย อันจะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม และ ปัญญา
เชิญคลิกฟังคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ
เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นผลของอกุศลกรรมใช่ไหม
ถ้ามีกาย เป็นพระอรหันต์ก็ยังต้องทุกข์กาย
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา ครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตราบใดที่ยังมีกาย ก็ย่อมมีทุกข์กายเป็นธรรมดา เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีอกุศลกรรมที่ทำแล้วในอดีตถึงคราวให้ผล ทุกข์ทางกายก็เกิดขึ้นไม่ได้ การได้ รับทุกข์ทางกาย เกิดขึ้นเพราะอกุศลกรรมเป็นปัจจัย ซึ่งก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นผล ของกรรมที่เคยกระทำแล้วในชาติไหน แต่ที่แน่ๆ คือ เป็นผลของอกุศลกรรม แน่นอน เพราะเหตุไม่ดี ก็ย่อมให้ผลเป็นที่ไม่ดี เป็นไปไม่ได้ที่เหตุไม่ดีแล้วจะให้ผลที่ดีเกิดขึ้น เมื่อได้ศึกษาพระธรรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับก็จะเข้าใจว่า ไม่มี ธรรมแม้แต่อย่างเดียวที่เกิดขึ้นเองโดยปราศจากเหตุปัจจัย นี่ก็เป็นการเริ่มสะสมความ มั่นคงในความเป็นจริงของธรรม ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของ ใครทั้งสิ้น เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม้แต่ในขณะต่อไป จิตแต่ละขณะ เกิดแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น เกิดสืบต่อเป็นลำดับด้วยดี จิตขณะ แรกของภพนี้ชาตินี้ ก็คือ ปฏิสนธิจิต เกิดเพียงขณะเดียวในภพนี้ชาตินี้ และจิตสุดท้าย ของภพนี้ชาตินี้ คือ จุติจิต เป็นผลของกรรม ทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ ซึ่ง เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย และไม่ใช่ว่าแต่ละคนก่อนที่ละจากโลกนี้ไป ต้องเป็น ผู้มีทุกข์กายเสมอๆ แม้ไม่มีทุกข์ทางกายเกิดขึ้น ก็ตายได้ ซึ่งจะต้องไม่ลืมในความ เป็นจริงของธรรมที่เป็นอนัตตา การตายเป็นผลของกรรม จะตาย ก็ต่อเมื่อจุติจิตเกิดขึ้น และตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็ย่อมมีการเกิดอีกในภพใหม่เป็นบุคคลใหม่ทันที ไม่สามารถ ย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก
ในเมื่อเกิดมาแล้วแต่ละคน ล้วนต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ประโยชน์ที่จะพึงได้ก่อนที่จะ ตาย ก็คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาและสะสมกุศล ซึ่งเป็นความดี ประการต่างๆ ต่อไป สิ่งนี้เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา ไม่สามารถล่วงพ้นไปได้ เป็นไปตามกรรมที่ทำไว้ บางคนก่อนตายก็ ไม่เจ็บปวด แต่บางคนก็ทุกข์ทรมานป่วยจนตายก็มี แล้วแต่กรรมที่จะ ให้ผลว่าจะตายตอนไหน เวลาไหน ค่ะ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ