กรุณาช่วยอธิบายความหมายของพุทธานุสสติ และมีวิธีให้เกิดขึ้นได้อย่างไร
การที่จะน้อมระลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นสามารถที่จะน้อมระลึกได้ทุกเหตุการณ์ คือ เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จะน้อมระลึกถึงพระคุณ ตั้งแต่พระองค์ได้ทรงแสดงปฐมเทศนา ตลอดมาจนถึงใกล้จะปรินิพพาน ก็จะเห็นพระคุณได้ หรือว่าจะน้อมระลึกถึง ก่อนที่พระองค์ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือ ระลึกถึงเมื่อครั้งพระองค์บำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงขัยแสนกัปป์ ก็ย่อมจะเห็นความพากเพียรและพระมหากรุณา ที่ทรงปรารถนาที่จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ขณะนั้นก็ระลึกถึงพระคุณได้
หรือเมื่อระลึกถึงการดำเนินชีวิตของพระองค์ในพระชาติสุดท้ายก่อนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะเห็นพระคุณได้เพราะว่าข้อความในพระไตรปิฎก แสดงไว้ทั้งหมดโดยครบถ้วนซึ่งผู้ที่มีสัทธา มีวิริยะ ก็จะศึกษา ฟัง หรือ อ่าน ด้วยความปิติโสมนัสที่ได้รู้เรื่องของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่อ่าน หรือ ฟังพระธรรมนั้น เมื่อเข้าใจพระธรรมก็เกิดสัทธา เกิดหิริ เกิดโอตตัปปะ เกิดวิริยะ เกิดสติ และปิติโสมนัสหรืออาจจะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต เล่ม ๓ หน้าที่ ๕๒๘
๙.อนุสสติสูตร
ว่าด้วยอนุสติ ๖
[๒๘๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอนุสติฐานะ ที่ตั้งแห่งความระลึก ๖ นี้ อนุสติฐานะ ๖ เป็นไฉน คือ
พุทธานุสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ๑ ธัมมานุสติ ระลึกถึงพระธรรม ๑ สังฆานุสติ ระลึกถึงพระสงฆ์ ๑ สีลานุสติ ระลึกถึงศีลที่ตนรักษา ๑ จาคานุสติ ระลึกถึงการบริจาคของตน ๑ เทวตานุสติ ระลึกถึงเทวดา และธรรมที่ทำให้เป็นเทวดา ๑ นี้แลภิกษุทั้งหลาย อนุสติฐานะ ๖
จบอนุสสติสูตรที่ ๙
อรรถกถาอนุสสติสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอนุสสติสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้
บทว่า พุทฺธานุสฺสติ ได้แก่ อนุสติ มีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์ แม้ในบททั้งหลายที่เหลือ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน
จบอรรถกถาอนุสสติสูตรที่ ๙
ระลึกถึงคุณเพราะความเข้าใจธรรม มิใช่ด้วยการท่อง
ขออนุโมทนา
เมื่อศึกษาพระธรรมที่ทรงตรัสรู้ให้เข้าใจมากขึ้น ก็จะน้อมระลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ได้ มากขึ้น
คนที่จะระลึกถึงพระพุทธคุณ ก็อยู่ที่ความเข้าใจธรรมะค่ะ ยิ่งมีความเข้าใจธรรมะมาก ก็ยิ่งระลึกและซาบซึ้งถึงพระพุทธคุณมาก เปรียบพุทธคุณเหมือนปุถุชนมีเชือกยาว ๑ - ๙ วา วัดความลึกของน้ำในมหาสมุทร พระพุทธคุณที่พระโสดาบันเห็น เปรียบเหมือนเชือกยาว ๑๐ วา พระพุทธคุณที่พระสกทาคามีเห็นเปรียบเชือกยาว ๒๐ วา พระพุทธคุณที่พระอนาคามีเห็น เปรียบเหมือนเชือกยาว ๓๐ วา พระพุทธคุณที่พระอรหันต์เห็นเปรียบเหมือนเชือกยาว ๔๐ วา ฯลฯ ยิ่งมีปัญญามาก ก็ยิ่งซาบซึ้งถึงพระพุทธคุณมากค่ะพระพุทธคุณไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรอีกค่ะ
ขณะนี้ระลึกได้ไหมหละ นี่แหละผลจากการฟังพระธรรมและเข้าใจพระธรรม
ได้ทราบจากสหายธรรมว่าพุทธานุสสติเป็นสติปัฏฐานได้สามารถเจริญจนถึงอรหัตตมรรคได้แต่ต้องไม่ลืมความเป็นอนัตตา
ขออนุโมทนาครับ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอถวายความนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
บทว่า อโนมนามํ อธิบายว่า มีพระนามอันไม่บกพร่อง มีพระนามบริบูรณ์ เพราะความที่พระองค์ทรงประกอบด้วยคุณทั้งปวง.
บทว่า นิปุณตฺถทสฺสิํ อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นประโยชน์ทั้งหลายละเอียดโดยมีความแตกต่างกันแห่งขันธ์เป็นต้น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ทรงเห็นประโยชน์อันละเอียด.
บทว่า ปญญฺาททํ อธิบายว่า ชื่อว่า ผู้ให้ซึ่งปัญญา เพราะสามารถบอกปฏิปทาเพื่อให้บรรลุถึงปัญญา.
บทว่า กามาลเย อสตฺตํ ได้แก่ ไม่ทรงข้องในอาลัย คือ กามคุณ ๕.
บทว่า กมมานํ อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถึงแล้วซึ่งความผ่องใสที่มหาโพธิ์นั่นแหละ ด้วยอริยมรรค มิใช่ทรงถึงในบัดนี้. ก็คำนี้ ท่านกล่าวหมายเอาอดีตกาล.
บทว่า มเหสิํ ได้แก่ ผู้ค้นหาผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ คือ สีลขันธ์ เป็นต้น ดังนี้แล.
๒. กินททสูตร ว่าด้วยเทวตาปัญหา ๕ ข้อ
ขอบคุณในธรรมทานทุกท่านค่ะ
กราบนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณและยินดียิ่งในกุศลของทุกท่านทุกประการ