[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 550
๓. จันทูปมสูตร
ว่าด้วยเปรียบภิกษุจงทําตัวเป็นดุจพระจันทร์
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 26]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 550
๓. จันทูปมสูตร
ว่าด้วยเปรียบภิกษุจงทำตัวเป็นดุจพระจันทร์
[๔๗๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย... แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเป็นประดุจพระจันทร์ จงพรากกาย พรากจิตออก เป็นผู้ใหม่เป็นนิตย์ เป็นผู้ไม่คะนองในสกุลทั้งหลายเข้าไปสู่สกุลเถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงพรากกาย พรากจิต แลดูบ่อน้ำซึ่งคร่ำคร่า หรือที่เป็นหลุมเป็นบ่อบนภูเขา หรือแม่น้ำที่ขาดเป็นห้วง ฉันใด พวกเธอจงเป็นประดุจพระจันทร์ จงพรากกาย พรากจิตออก เป็นผู้ใหม่เป็นนิตย์ ไม่คะนองในสกุล เข้าไปสู่สกุล ฉันนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กัสสปเปรียบประดุจพระจันทร์ พรากกาย พรากจิตออกแล้ว เป็นผู้ใหม่อยู่เป็นนิตย์ ไม่คะนองในสกุลทั้งหลายเข้าไปสู่สกุล.
[๔๗๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ภิกษุชนิดไร จึงสมควรเข้าไปสู่สกุล.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมทั้งหลายของข้าพระองค์ มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นรากฐาน มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่พึ่งอาศัย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้เนื้อความแห่งภาษิตนี้ จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด ภิกษุทั้งหลายได้สดับต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจักทรงจำไว้ ดังนี้.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโบกฝ่าพระหัตถ์ในอากาศ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 551
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฝ่ามือนี้ ไม่ข้อง ไม่ยึด ไม่พัวพันในอากาศ ฉันใด จิตของภิกษุผู้เข้าไปสู่สกุล ไม่ข้อง ไม่ยึด ไม่พัวพัน ฉันนั้นเหมือนกัน โดยตั้งใจว่า ผู้ปรารถนาลาภ จงได้ลาภ ส่วนผู้ปรารถนาบุญ จงทำบุญ ดังนี้ ภิกษุเป็นผู้พอใจ ดีใจ ด้วยลาภตามที่เป็นของตน ฉันใด ก็เป็นผู้พลอยพอใจ ดีใจ ด้วยลาภของชนเหล่าอื่น ฉันนั้น ภิกษุผู้เห็นปานนี้แล จึงควรเข้าไปสู่สกุล ภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุผู้เข้าไปสู่สกุล ไม่ข้อง ไม่ยึด ไม่พัวพันในสกุลทั้งหลาย โดยคิดว่า ผู้ปรารถนาลาภ จงได้ลาภ ส่วนผู้ปรารถนาบุญ จงทำบุญ ดังนี้ กัสสปเป็นผู้พอใจ ดีใจ ด้วยลาภตามที่เป็นของตน ฉันใด ก็เป็นผู้พลอยพอใจ ดีใจ ด้วยลาภของชนเหล่าอื่น ฉันนั้น.
[๔๗๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ธรรมเทศนาของภิกษุชนิดไร ไม่บริสุทธิ์ ธรรมเทศนาของภิกษุชนิดไรบริสุทธิ์.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมทั้งหลายของพวกข้าพระองค์ มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นรากฐาน มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่พึ่งอาศัย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้เนื้อความแห่งภาษิตนี้ จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด ภิกษุทั้งหลายได้สดับต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจักทรงจำไว้ ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้นพวกเธอจงฟัง จงใจใส่ให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 552
รูปใดรูปหนึ่งมีความคิดอย่างนี้ ย่อมแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่นว่า โอหนอ ชนทั้งหลายพึงฟังธรรมของเรา ก็แลครั้นฟังแล้ว พึงเลื่อมใสซึ่งธรรม ผู้ที่เลื่อมใสแล้วเท่านั้น จะพึงทำอาการของผู้เลื่อมใสต่อเรา ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเทศนาของภิกษุเห็นปานนี้แล ไม่บริสุทธิ์ ส่วนภิกษุใดแล เป็นผู้มีความคิดอย่างนี้ แสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่นว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นข้อปฏิบัติอันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนจะพึงรู้เฉพาะตน โอหนอ ชนทั้งหลายพึงฟังธรรมของเรา ก็แลครั้นฟังแล้ว จะพึงรู้ทั่วถึงธรรม ก็แลครั้นรู้ทั่วถึงธรรมแล้ว จะพึงปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ดังนี้ อาศัยความที่แห่งพระธรรมเป็นธรรมอันดี จึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น อาศัยความกรุณา จึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น อาศัยความเอ็นดู จึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น อาศัยความอนุเคราะห์ จึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น ด้วยประการฉะนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเทศนาของภิกษุเห็นปานนี้แล บริสุทธิ์.
[๔๗๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กัสสปเป็นผู้มีความคิดอย่างนี้ ย่อมแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่นว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นข้อปฏิบัติอันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนจะพึงรู้เฉพาะตน โอหนอ ชนทั้งหลายพึงฟังธรรมของเรา ก็แลครั้นฟังแล้ว จะพึงรู้ทั่วถึงธรรม ก็แลครั้นรู้ทั่วถึงธรรมแล้ว จะพึงปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ดังนี้ อาศัยความที่ธรรมเป็นธรรมอันดี จึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น อาศัยความกรุณา จึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น อาศัยความเอ็นดู จึงแสดงธรรม
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 553
แก่ชนเหล่าอื่น อาศัยความอนุเคราะห์ จึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักกล่าวสอนพวกเธอตามอย่างกัสสป หรือผู้ใดพึงเป็นเช่นกัสสป เราก็จักกล่าวสอนให้ประพฤติตามผู้นั้น ก็แลพวกเธอได้รับโอวาทแล้ว พึงปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ดังนี้.
จบจันทูปมสูตรที่ ๓
อรรถกถาจันทูปมสูตรที่ ๓
พึงทราบวินิจฉัยในจันทูปมสูตรที่ ๓ ดังต่อไปนี้.
บทว่า จนฺทูปมา ความว่า เธอทั้งหลาย จงเป็นเช่นดวงจันทร์ โดยความเป็นปริมณฑลอย่างไร.
อีกอย่างหนึ่ง ดวงจันทร์โคจรอยู่บนท้องฟ้า ไม่ทำความคุ้นเคย ความเยื่อใย ความรักใคร่ ความปรารถนา หรือความพยายามกับใคร. แต่จะไม่เป็นที่รัก ที่ชอบใจของมหาชนก็หามิได้ ฉันใด. แม้พวกเธอ ก็เป็นที่รักที่ชอบใจของชนเป็นอันมาก เพราะไม่ทำความคุ้นเคยเป็นต้นกับใคร เป็นดุจดวงจันทร์ เข้าไปสู่ตระกูล ๔ มีตระกูลกษัตริย์เป็นต้นฉันนั้น.
อนึ่ง ดวงจันทร์กำจัดความมืดส่องแสงสว่าง ฉันใด. พึงเห็นเนื้อความในข้อนี้ โดยนัยมีเป็นต้นอย่างนี้ว่า พวกเธอเป็นดุจดวงจันทร์ด้วยการกำจัดความมืดคือกิเลส และด้วยการส่องแสงสว่าง คือปัญญาฉันนั้น.
บทว่า อปกสฺเสว กายํ อปกสฺส จิตฺตํ ความว่า พราก คือ คร่ามา นำออกไปทั้งกายและทั้งจิตด้วยการไม่ทำความคุ้ยเคยเป็นต้นนั้นแล.
ด้วยว่า ภิกษุใดไม่อยู่แม้ในป่า แต่ตรึกกามวิตกเป็นต้น. ภิกษุนี้ ชื่อว่าไม่พรากทั้งกายทั้งจิต. ส่วนภิกษุใด แม้อยู่ในป่า ตรึกกามวิตก
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 554
เป็นต้น. ภิกษุนี้ชื่อว่าพรากกายอย่างเดียว แต่ไม่พรากจิต. ภิกษุใดอยู่ในละแวกบ้าน แต่ก็ไม่ตรึกกามวิตกเป็นต้น. ภิกษุนี้ชื่อว่าพรากจิตอย่างเดียว แต่ไม่พรากกาย. ส่วนภิกษุใดอยู่ป่า และไม่ตรึกกามวิตกเป็นต้น ภิกษุนี้ชื่อว่าพรากแม้ทั้งสอง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงว่า พวกเธอเห็นปานนี้ จงเข้าไปสู่ตระกูล จึงตรัสว่า อปกสฺเสว กายํ อปกสฺส จิตฺตํ ดังนี้.
บทว่า นิจฺจนวกา ความว่า พวกเธอเป็นผู้ใหม่เป็นนิตย์ คือเป็นเช่นอาคันตุกะ ดังนี้.
ด้วยว่า อาคันตุกะเข้าไปสู่เรือนที่ถึงเข้าตามลำดับ ถ้าเจ้าของเรือนเห็นเขาเข้าก็คิดว่า บุตรพี่น้องชายของพวกเรา ไปพักแรมเที่ยวไปอย่างนี้ ดังนี้ เมื่ออนุเคราะห์เชิญให้นั่งให้บริโภค พอเขาบริโภคเสร็จคิดว่า ท่านจงถือเอาโภชนะของท่านเถิด ดังนี้ ลุกขึ้นหลีกไป ย่อมไม่ทำความคุ้นเคยกับเจ้าของเรือนเหล่านั้น หรือจัดทำกรณียกิจ. ท่านแสดงว่า แม้พวกเธอเข้าไปสู่เรือนที่ถึงเข้าตามลำดับอย่างนี้แล้ว พวกมนุษย์ผู้เลื่อมใสในอิริยาบถจะถวายสิ่งใด รับเอาสิ่งนั้นตัดความคุ้นเคยเป็นผู้ไม่ขวนขวายในกรณียกิจของมนุษย์เหล่านั้นออกไป ดังนี้.
ท่านกล่าวเรื่องของสองพี่น้องไว้ เพื่อความแจ่มแจ้งของความเป็นผู้ใหม่เป็นนิตย์ดังต่อไปนี้.
ได้ยินว่า พี่น้องสองคนออกบวชจากบ้านวโสฬนคร. พี่น้องสองคนเหล่านั้น ปรากฏว่าเป็น พระจูฬนาคเถระ และพระมหานาคเถระ. พระเถระเหล่านั้นอยู่บนภูเขาจิตตลบรรพตตลอด ๓๐ ปี บรรลุพระอรหัตแล้วคิดว่า เราจักเยี่ยมมารดา มาแล้ว พักอยู่ในวิหารในวโสฬนคร เข้าไปสู่บ้านมารดาเพื่อบิณฑบาตในวันรุ่งขึ้น. แม้มารดานำข้าวต้มออกไปด้วยกระบวย เพื่อพระเถระเหล่านั้น เกลี่ยลงในบาตรของพระเถระรูปหนึ่ง. เมื่อนาง
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 555
มองดูพระเถระนั้น ก็เกิดความรักในบุตร. ครั้งนั้นนางจึงกล่าวกะท่านว่า ลูก ท่านชื่อมหานาคเป็นลูกของเราหรือ. พระเถระกล่าวว่า อุบาสิกา ท่านจงถามพระเถระรูปหลังเถิด แล้วก็หลีกไป. นางถวายข้าวยาคูแม้แก่พระเถระรูปหลัง แล้วจึงถามว่า ลูก ท่านชื่อจูฬนาคเป็นลูกของเราหรือ. พระเถระกล่าวว่า อุบาสิกา ท่านไม่ถามพระรูปก่อนหรือ ดังนี้ แล้วก็หลีกไป. ภิกษุผู้ตัดความคุ้นเคยกับมารดาอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ใหม่เป็นนิตย์.
บทว่า อปฺปคพฺภา คือ ไม่คะนอง อธิบายว่า เว้นด้วยความคะนองกายมีฐานะ ๘ ด้วยความคะนองวาจามีฐานะ ๔ และด้วยความคะนองใจมีฐานะมิใช่น้อย การกระทำอันไม่สมควรด้วยกายในสงฆ์ คณะ บุคคล โรงฉัน เรือนไฟ ท่าอาบน้ำ ทางภิกขาจาร การเข้าไปในละแวกบ้าน ชื่อว่าความคะนองกายมีฐานะ ๘ เช่นกรรมเป็นต้น อย่างนี้ว่า ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ นั่งรัดเข่าในท่ามกลางสงฆ์ หรือไขว่ห้าง. ในท่ามกลางคณะก็อย่างนั้น.
บทว่า คณเมชฺเฌ ความว่า ในการประชุมบริษัท ๔ หรือประชุมคณะพระสูตรเป็นต้น. ในภิกษุผู้แก่กว่าก็อย่างนั้น. ส่วนในโรงฉันไม่ถวายอาสนะแก่ภิกษุผู้แก่ ห้ามอาสนะแก่ภิกษุผู้ใหม่. ในเรือนไฟก็อย่างนั้น. ก็ในเรือนไฟนี้ เธอไม่บอกภิกษุผู้แก่ ทำการก่อไฟเป็นต้น. ส่วนในท่าอาบน้ำมีอธิบายนี้ว่า ท่านไม่กำหนดว่า ภิกษุหนุ่ม ภิกษุแก่ พึงอาบน้ำตามลำดับที่มา. เธอเมื่อไม่เอื้อเฟื้อการกำหนดนั้น มาภายหลังลงน้ำ ย่อมเบียดเบียนภิกษุแก่และภิกษุใหม่. ส่วนในทางภิกขาจารมีกรรมเป็นต้นอย่างนี้ว่า เดินออกหน้าเพื่อประโยชน์แก่อาสนะที่เลิศ น้ำที่เลิศ ก้อนข้าวที่เลิศ กระทบแขนเข้าไปภายในละแวกบ้านก่อนพวกภิกษุผู้แก่ ทำการเล่นทางกายกับภิกษุหนุ่ม ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 556
การเปล่งวาจาอันไม่สมควรในท่ามกลางสงฆ์ คณะ บุคคล และในละแวกบ้าน ชื่อว่าความคะนองวาจามีฐานะ ๔ เช่นภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ไม่บอกก่อน กล่าวธรรมในท่ามกลางสงฆ์ ในท่ามกลางคณะ และในสำนักบุคคลมีประการตามที่กล่าวแล้วในก่อนอย่างนั้น ถูกพวกมนุษย์ถามอย่างนั้นเหมือนกัน ไม่บอกภิกษุผู้แก่กว่าแก้ปัญหา. ส่วนในละแวกบ้าน ย่อมกล่าวคำเป็นต้นว่า ชื่อแม้ไฉน ข้าวยาคู หรือของควรเคี้ยว ควรบริโภคมีอยู่หรือ ท่านจะให้อะไรแก่เรา. วันนี้เราจักเคี้ยวอะไร จักกินอะไร จักดื่มอะไร. การไม่ถึงอัชฌาจารด้วยกายวาจาในฐานะเหล่านั้นๆ แต่ใจตรึกถึงกามวิตกเป็นต้น ชื่อว่าความคะนองใจ ซึ่งมีฐานะมิใช่น้อย.
อนึ่ง ความที่ภิกษุผู้ทุศีล แม้มีความปรารถนาลามกอันเป็นไปอย่างนี้ว่า ขอชนจงรู้เราว่า เป็นผู้มีศีลดังนี้ ชื่อว่าความคะนองใจ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอเป็นผู้คะนองเข้าไปหา เพราะไม่มีความคะนองเหล่านี้ทั้งหมดด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ชรุทปานํ ได้แก่ บ่อน้ำเก่า.
บทว่า ปพฺพตวิสมํ ได้แก่ ที่เป็นหลุม คือ เป็นเหวบนภูเขา.
บทว่า นทีวิทุคฺคํ ได้แก่ แม่น้ำที่ขาดเป็นห้วงๆ.
บทว่า อปกสฺเสว กายํ ได้แก่ ผู้ใดขวนขวายในการเล่นเป็นต้น ไม่พรากกาย ไม่ร่วมกันทำกรรมหนักตลอดสถานที่เช่นนั้น ไม่ยึดถือผู้ช่วย ไม่พรากจิต คำนึงโดยลำดับ เพราะเห็นโทษว่าบุคคลผู้ตกไปในที่นี้ ย่อมถึงมือและเท้าหักเป็นต้น จึงมีความรักมองดู. บุคคลนั้นตกไปแล้ว ย่อมประสบสิ่งมิใช่ประโยชน์ มีมือและเท้าหักเป็นต้น. ส่วนผู้ใดต้องการน้ำ เป็นผู้ใคร่จะตรวจดูด้วยกิจอื่นหรือกิจบางอย่าง พรากกาย ร่วมกันทำกรรมหนัก ยึดถือผู้ช่วยเหลือ พราก
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 557
แม้จิต มองดูเกิดสังเวชเพราะเห็นโทษ. ผู้นั้นแลดูตามความชอบใจ แล้วมีความสุข ย่อมหลีกไปตามความปรารถนา.
บทนี้ในบทว่า เอวเมว โข นี้ เป็นเครื่องเปรียบอุปมา. ด้วยว่าตระกูล ๔ เหมือนบ่อน้ำเก่าเป็นต้น. ภิกษุเหมือนบุรุษผู้แลดู. บุรุษมีกายและจิตยังพรากไม่ได้ เมื่อแลดูบ่อน้ำเก่าเป็นต้นเหล่านั้น ย่อมตกไปในบ่อนั้นฉันใด ภิกษุมีกายเป็นต้นไม่รักษาแล้ว เมื่อเข้าไปสู่ตระกูล ย่อมติดอยู่ในตระกูล ต่อจากนั้น ย่อมประสบสิ่งมิใช่ประโยชน์ มีการทำลายพื้นศีลเป็นต้น มีประการต่างๆ เป็นต้นฉันนั้น. เหมือนอย่างบุรุษมีกายและจิตพรากได้แล้ว ย่อมไม่ตกไปในบ่อนั้นฉันใด. ภิกษุเป็นผู้มีกายและจิตพรากได้ด้วยกายอันตนรักษาแล้ว ด้วยจิตอันตนรักษาแล้ว ด้วยวาจาอันตนรักษาแล้ว ด้วยสติอันมั่นคง เมื่อเข้าไปสู่ตระกูล ย่อมไม่ติดในตระกูล. ครั้งนั้น ศีลของเธอไม่ทำลาย เหมือนเท้าของบุรุษ ผู้ไม่ตกไปในบ่อนั้น ไม่หักฉะนั้น. มือที่ประกอบด้วยศรัทธา ย่อมไม่ทำลาย เหมือนมือไม่หักฉะนั้น. ท้องคือสมาธิ ย่อมไม่แตก เหมือนท้องไม่แตกฉะนั้น. ศีรษะคือญาณ ย่อมไม่แตก เหมือนศีรษะไม่แตกฉะนั้น.
อนึ่ง ตอและหนามเป็นต้น ย่อมไม่ตำบุรุษนั้นฉันใด. หนามคือราคะเป็นต้น ย่อมไม่ทิ่มแทงภิกษุนี้ฉันนั้น. บุรุษนั้นไม่มีอุปัทวะ แลดูได้ตามความชอบใจ มีความสุขหลีกไปได้ตามต้องการฉันใด ภิกษุอาศัยตระกูลแล้ว เสพปัจจัยมีจีวรเป็นต้น เจริญกัมมัฏฐาน พิจารณาในสังขารทั้งหลาย บรรลุพระอรหัตเป็นสุขด้วยโลกุตรสุข ย่อมไปสู่ทิศคือนิพพานที่ยังไม่เคยไปได้ตามต้องการฉันนั้น.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 558
บัดนี้ ภิกษุใดน้อมใจไปในทางเลว ปฏิบัติผิด พึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อตรัสว่า พวกเธอจงละความคะนอง ๓ อย่าง เป็นดุจดวงจันทร์เข้าไปสู่ตระกูล ด้วยความเป็นผู้ใหม่เป็นนิตย์ ตั้งไว้ในมิใช่ฐานะ ให้ยกภาระที่ทนไม่ได้ ให้กระทำสิ่งซึ่งใครๆ ไม่อาจจะทำได้. พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงตัดทางถ้อยคำของภิกษุนั้นแสดงว่า ใครๆ อาจทำได้อย่างนี้ ภิกษุเห็นปานนี้ก็มีอยู่ดังนี้ จึงตรัสคำเป็นต้นว่า กสฺสโป ภิกฺขเว ดังนี้.
บทว่า อากาเส ปาณิํ จาเลสิ ความว่า ทรงโบกฝ่าพระหัตถ์ไปมาทั้งสองข้าง ทั้งส่วนล่าง ทั้งส่วนบน เหมือนนำไปซึ่งสายฟ้าเป็นคู่ๆ ในระหว่างท้องฟ้าสีครามฉะนั้น. แต่ข้อนี้ ชื่อว่าเป็นบทไม่เจือปนในพระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎก.
บทว่า อตฺตมโน ความว่า เป็นผู้มีจิตยินดี มีใจเป็นของตน คือ ไม่ถูกโทมนัสถือได้.
แม้บทว่า กสฺสปสฺส ภิกฺขเว นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตัดถ้อยคำของผู้อื่น โดยนัยก่อนเหมือนกัน จึงตรัสเพื่อแสดงว่า ภิกษุเห็นปานนี้ก็มีอยู่.
บทว่า ปสนฺนาการํ กเรยฺยุํ ความว่า ชนผู้เลื่อมใสพึงถวายปัจจัยมีจีวรเป็นต้น.
บทว่า ตถตฺตาย ปฏิปชฺเชยฺยุํ ความว่า พวกภิกษุบำเพ็ญศีลให้เต็มในที่มาแล้ว ให้ศีลเหล่านั้นๆ ถึงพร้อมในที่แห่งสมาธิวิปัสสนามรรคและผลมาแล้ว ชื่อว่าพึงปฏิบัติ เพื่อความเป็นอย่างนั้น.
บทว่า อนุทยํ คือ ความรักษา.
บทว่า อนุกมฺปํ คือ มีจิตอ่อนโยน.
ก็ทั้งสองบทนั้น เป็นไวพจน์ของความกรุณา.
แม้บทว่า กสฺสโป ภิกฺขเว นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตัดถ้อยคำของผู้อื่น โดยนัยก่อนเหมือนกัน จึงตรัสเพื่อแสดงว่า ภิกษุเห็นปานนี้ก็มีอยู่.
ในบทว่า กสฺสเปน วา นี้ ท่านแต่งประกอบด้วย
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 559
อำนาจอุปมากับดวงจันทร์เป็นต้น พึงทราบเนื้อความโดยนัยก่อนเหมือนกัน.
จบอรรถกถาจันทูปมสูตรที่ ๓