[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 99
๖. ภูมิชสูตร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 23]
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 99
๖. ภูมิชสูตร
[๔๐๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน อันเคยเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นแล ท่านพระภูมิชะ นุ่งสงบ ทรงบาตรจีวรเข้าไปยังวังของพระราชกุมารชยเสนะในเวลาเช้า แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาแต่งตั้งไว้ ต่อนั้น พระราชกุมารชยเสนะเข้าไปหาท่านพระภูมิชะ แล้วได้ตรัสทักทายปราศรัยกับท่านพระภูมิชะ ครั้นผ่านคําทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงประทับ นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
[๔๐๖] พระราชกุมารชยเสนะ ประทับ นั่งเรียบร้อยแล้ว ได้รับสั่งกะท่านพระภูมิชะดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านภูมิชะ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ถ้าแม้บุคคลทําความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความหวังและความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ในเรื่องนี้ ศาสดาของท่านภูมิชะมีวาทะอย่างไร มีความเห็นอย่างไร บอกไว้อย่างไร
[๔๐๗] ท่านภูมิชะกล่าวว่า ดูก่อนพระราชกุมาร เรื่องนี้อาตมภาพมิได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าเลย แต่ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ถ้าแม้บุคคลทําความหวัง แล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่แยบคาย เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่แยบคาย เขาก็ไม่สามารถ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 100
จะบรรลุผล ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่แยบคาย เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่แยบคาย เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล แต่ถ้าแม้ทําความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยแยบคายเขาก็จะสามารถบรรลุผล ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยแยบคาย เขาก็จะสามารถบรรลุผลถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยแยบคาย เขาจะสามารถบรรลุผล ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยแยบคาย เขาก็จะสามารถบรรลุผล ดูก่อนพระราชกุมาร เรื่องนี้อาตมภาพมิได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าเลย แต่ข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงทรงพยากรณ์อย่างนี้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้แล.
ร. ถ้าศาสดาของท่านภูมิชะมีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ บอกไว้อย่างนี้ ศาสดาของท่านภูมิชะ ชะรอยจะดํารงอยู่เหนือหัวของสมณพราหมณ์จํานวนมากทั้งมวลโดยแท้.
ต่อนั้น พระราชกุมารชยเสนะทรงอังคาสท่านพระภูมิชะ ด้วยอาหารในภาชนะส่วนของพระองค์.
ว่าด้วยเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
[๔๐๘] ครั้งนั้นแล ท่านพระภูมิชะกลับจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพรภาคเจ้า นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอกราบทูลให้ทรงทราบ เมื่อเช้านี้ข้าพระองค์นุ่งสบง ทรงบาตรจีวรเข้าไปยังวังของพระราช-
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 101
กุมารชยเสนะ แล้วได้นั่งบนอาสนะที่เขาแต่งตั้งไว้ ต่อนั้น พระราชกุมารชยเสนะได้เข้ามาหาข้าพระองค์ แล้วได้ตรัสทักทายปราศรัยกับข้าพระองค์ ครั้นผ่านคําทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว. ได้ประทับ นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอประทับ นั่งเรียบร้อยแล้วได้รับสั่งกะข้าพระองค์ดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านภูมิชะ มี สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ถ้าแม้บุคคลทําความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ในเรื่องนี้ ศาสดาของท่านภมิชะมีวาทะอย่างไร มีความเห็นอย่างไร บอกไว้อย่างไร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระราชกุมารรับสั่งแล้วอย่างนี้ ข้าพระองค์ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนพระราชกุมาร เรื่องนี้อาตมภาพมิได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าเลย แต่ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ถ้าแม้บุคคลทําความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ โดยไม่แยบคายเขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่แยบคาย เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่แยบคาย เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่แยบคาย เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล แต่ถ้าแม้ทําความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยแยบคาย เขาจะสามารถบรรลุผล ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์โดยแยบคาย เขาก็จะสามารถบรรลุผล ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยแยบคาย เขาก็จะสามารถบรรลุผล
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 102
ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์โดยแยบคายเขาก็จะสามารถบรรลุผล ดูก่อนพระราชกุมาร เรื่องนี้อาตมภาพมิได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าเลย แต่ข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงทรงพยากรณ์อย่างนี้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้แล พระราชกุมารชยเสนะรับสั่งว่าถ้าศาสดาของท่านภูมิชะมีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ บอกไว้อย่างนี้ ศาสดาของท่านภูมิชะ ชะรอยจะดํารงอยู่เหนือหัวของสมณพราหมณ์จํานวนมากทั้งมวลโดยแท้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ถูกถามอย่างนี้แล้ว เมื่อพยากรณ์อย่างนี้ จะเป็นผู้กล่าวตามพระดํารัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคําไม่จริง พยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม และวาทะอนุวาทะไรๆ อันชอบด้วยเหตุ จะไม่ถึงฐานะน่าตําหนิบ้างหรือ.
[๔๐๙] พ. ดูก่อนภูมิชะเหมาะแล้ว เธอถูกถามอย่างนี้ เมื่อพยากรณ์อย่างนี้ย่อมเป็นผู้กล่าวตามถ้อยคําของเราไม่กล่าวตู่เราด้วยคําไม่จริง พยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม และวาทะอนุวาทะไรๆ อันชอบด้วยเหตุ ย่อมไม่ถึงฐานะน่าตําหนิ ดูก่อนภูมิชะ ก็สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ที่มีทิฏฐิผิด มีสังกัปปะผิด มีวาจาผิด มีกัมมันตะผิด มีอาชีวะผิด มีวายามะผิด มีสติผิด มีสมาธิผิด ถ้าแม้ทําความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่ห่วงแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล นั่นเพราะเหตุไรดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาไม่สามารถจะบรรลุผลได้โดยอุบายไม่แยบคาย.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 103
ว่าด้วยอุปมาด้วยบุรุษต้องการน้ำมัน
[๔๑๐] ดูก่อนภูมิชะเปรียบเหมือนบุรุษต้องการน้ำมัน แสวงหาน้ำมันจึงเที่ยวเสาะหาน้ำมัน เกลี่ยทรายลงในรางแล้วคั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ ถ้าแม้ทําความหวังแล้วเกลี่ยทรายลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็ไม่สามารถจะได้น้ำมัน ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้วเกลี่ยทรายลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็ไม่สามารถจะได้น้ำมัน ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วเกลี่ยทรายลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็ไม่สามารถจะได้น้ำมันถ้าทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วเกลี่ยทรายลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็ไม่สามารถจะได้น้ำมัน นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาไม่สามารถจะได้น้ำมัน โดยวิธีไม่แยบคาย ฉันใด ดูก่อนภูมิชะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งที่มีทิฏฐิผิด มีสังกัปปะผิด มีวาจาผิด มีกัมมันตะผิด มีอาชีวะผิด มีวายามะผิด มีสติผิด มีสมาธิผิด ถ้าแม้ทําความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาไม่สามารถจะบรรลุผลได้โดยอุบายไม่แยบคาย.
[๔๑๑] ดูก่อนภูมิชะ เปรียบเหมือนบุรุษต้องการนมสด แสวงหานมสดจึงเที่ยวเสาะหานมสด แต่รีดเอาจากเขาแม่โคลูกอ่อน ถ้าแม้ทําความหวังแล้วรีดเอาจากเขาแม่โคลูกอ่อน เขาก็ไม่สามารถจะได้นมสด ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้วรีดเอาจากเขาแม่โคลูกอ่อน เขาก็ไม่สามารถจะได้นมสด ถ้าแม้
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 104
ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วรีดเอาจากเขาแม่โคลูกอ่อน เขาก็ไม่สามารถจะได้นมสด ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วรีดเอาจากเขาแม่โคลูกอ่อน เขาก็ไม่สามารถจะได้นมสด นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาไม่สามารถจะได้นมสด โดยวิธีไม่แยบคาย ฉันใด ดูก่อนภูมิชะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งที่มีทิฏฐิผิด ฯลฯ มีสมาธิผิด ถ้าแม้ทําความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาไม่สามารถจะบรรลุผลได้โดยอุบายไม่แยบคาย.
[๔๑๒] ดูก่อนภูมิชะ เปรียบเหมือนบุรุษต้องการเนยข้น แสวงหาเนยข้น จึงเที่ยวเสาะหาเนยข้น ใส่น้ำลงในอ่าง คนเข้ากับนมข้น ถ้าแม้ทําความหวังแล้วใส่น้ำลงในอ่าง คนเข้ากับนมข้น เขาก็ไม่สามารถจะได้เนยข้น ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้วใส่น้ำลงในอ่าง คนเข้ากับนมข้น เขาก็ไม่สามารถจะได้เนยข้น ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วใส่น้ำลงในอ่าง คนเข้ากับนมข้น เขาก็ไม่สามารถจะได้เนยข้น ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วใส่น้ำลงในอ่าง คนเข้ากับนมข้น เขาก็ไม่สามารถจะได้เนยข้น นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ. เพราะเขาไม่สามารถจะได้เนยข้นโดยวิธีไม่แยบคาย ฉันใด ดูก่อนภูมิชะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งที่มีทิฏฐิผิด ฯลฯ มีสมาธิผิด ถ้าแม้ทําความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวัง
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 105
แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาไม่สามารถจะบรรลุผลได้โดยอุบายไม่แยบคาย.
[๔๑๓] ดูก่อนภูมิชะ เปรียบเหมือนบุรุษต้องการไฟ แสวงหาไฟจึงเที่ยวเสาะหาไฟ เอาไม้สดที่มียางมาทําไม้สีไฟ สีกันไป ถ้าแม้ทําความหวังแล้วเอาไม้สดที่มียางมาทําไม้สีไฟ สีกันไป เขาก็ไม่สามารถจะได้ไฟ ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้วเอาไม้สดที่มียางมาทําไม้สีไฟ สีกันไป เขาก็ไม่สามารถจะได้ไฟ ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วเอาไม้สดที่มียางมาทําไม้สีไฟ สีกันไป เขาก็ไม่สามารถจะได้ไฟ ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ ความไม่หวังก็มิใช่ แล้วเอาไม้สดที่มียางมาทําไม้สีไฟ สีกันไป เขาก็ไม่สามารถจะได้ไฟ นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาไม่สามารถจะได้ไฟโดยวิธีไม่แยบคาย ฉันใด ดูก่อนภูมิชะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งที่มีทิฏฐิผิด ฯลฯ มีสมาธิผิด ถ้าแม้ทําความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาไม่สามารถจะบรรลุผลได้โดยอุบายไม่แยบคาย
ว่าด้วยการบรรลุผล
[๔๑๔] ดูก่อนภูมิชะ ส่วนสมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งที่มีทิฏฐิชอบ มีสังกัปปะชอบ มีวาจาชอบ มีกัมมันตะชอบ มีอาชีวะชอบ มีวายามะชอบ มีสติชอบ มีสมาธิชอบ ถ้าแม้ทําความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็สามารถบรรลุผล ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 106
เขาก็สามารถบรรลุผล ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็สามารถบรรลุผล ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็สามารถบรรลุผล นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาสามารถบรรลุได้โดยอุบายแยบคาย.
[๔๑๕] ดูก่อนภูมิชะ เปรียบเหมือนบุรุษต้องการน้ำมัน แสวงหาน้ำมัน จึงเที่ยวเสาะหาน้ำมัน เกลี่ยงาป่นลงในรางแล้วคั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ ถ้าแม้ทําความหวังแล้วเกลี่ยงาป่นลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็สามารถได้น้ำมัน ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้ว... ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้ว... ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้ว เกลี่ยงาป่นลงในรางคั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็สามารถได้น้ำมัน นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาสามารถได้น้ำมันโดยวิธีแยบคาย ฉันใด ดูก่อนภูมิชะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งที่มีทิฏฐิชอบ ฯลฯ มีสมาธิชอบ ถ้าแม้ทําความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็สามารถบรรลุผล ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้ว... ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้ว... ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็สามารถบรรลุผล นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาสามารถบรรลุผลได้โดยอุบายแยบคาย.
[๔๑๖] ดูก่อนภูมิชะ เปรียบเหมือนบุรุษต้องการนมสด แสวงหานมสดจึงเที่ยวเสาะหานมสด รีดเอาจากเต้านมแม่โคลูกอ่อน ถ้าแม้ทําความหวังแล้วรีดเอาจากเต้านมแม่โคลูกอ่อน เขาก็สามารถได้นมสด ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้ว... ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้ว... ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวัง ก็มิใช่แล้วรีดเอาจากเต้านมแม่โคลูกอ่อน เขาก็สามารถได้นมสด นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาสามารถได้นมสดโดยวิธีแยบคาย ฉันใด ดูก่อนภูมิชะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณะหรือพราหมณ์พวกใด
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 107
พวกหนึ่งที่มีทิฏฐิชอบ ฯลฯ มีสมาธิชอบ ถ้าแม้ทําความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาสามารถบรรลุผล ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้ว... ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้ว... ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็สามารถบรรลุผล นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาสามารถบรรลุผลได้โดยอุบายแยบคาย.
ว่าด้วยบุรุษต้องการเนยข้น
[๔๑๗] ดูก่อนภูมิชะ เปรียบเหมือนบุรุษต้องการเนยข้น แสวงหาเนยข้นจึงเที่ยวเสาะหาเนยข้น ใส่นมส้มลงในอ่าง คนเข้ากับนมข้น ถ้าแม้ทําความหวังแล้วใส่นมส้มลงในอ่าง คนเข้ากับนมข้น เขาก็สามารถได้เนยข้น ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้ว... ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้ว. ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วใส่นมส้มลงในอ่าง คนเข้ากับนมข้น เขาก็สามารถได้เนยข้น นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาสามารถได้เนยข้นโดยวิธีแยบคาย ฉันใด ดูก่อนภูมิชะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งที่มีทิฏฐิชอบ ฯลฯ มีสมาธิชอบ ถ้าแม้ทําความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็สามารถบรรลุผล ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้ว... ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้ว... ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาสามารถบรรลุผล นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาสามารถบรรลุผลได้โดยอุบายแยบคาย.
[๔๑๘] ดูก่อนภูมิชะ เปรียบเหมือนบุรุษต้องการไฟ แสวงหาไฟจึงเที่ยวเสาะหาไฟ เอาไม้แห้งเกราะมาทําไม้สีไฟ สีกันไป ถ้าแม้ทําความหวังแล้วเอาไม้แห้งเกราะมาทําไม้สีไฟ สีกันไป เขาก็สามารถได้ไฟ ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้ว... ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้ว... ถ้าแม้ทําความ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 108
หวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วเอาไม้แห้งเกราะมาทําไม้สีไฟ สีกันไป เขาก็สามารถได้ไฟ นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาสามารถได้ไฟ โดยวิธีแยบคาย ฉันใด ดูก่อนภูมิชะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งที่มีทิฏฐิชอบ ฯลฯ มีสมาธิชอบ ถ้าแม้ทําความหวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็สามารถบรรลุผล ถ้าแม้ทําความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็สามารถบรรลุผล ถ้าแม้ทําทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็สามารถบรรลุผล ถ้าแม้ทําความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็สามารถบรรลุผลนั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภูมิชะ เพราะเขาสามารถบรรลุผลได้โดยอุบายแยบคาย.
ว่าด้วยการชื่นชมพระภาษิต
[๔๑๙] ดูก่อนภูมิชะ ถ้าอุปมา ๔ ข้อนี้ จะพึงแจ่มแจ้งแก่พระราชกุมารชยเสนะ พระราชกุมารชยเสนะจะพึงเลื่อมใสเธอ และเลื่อมใสแล้ว จะพึงทําอาการของบุคคลผู้เลื่อมใสต่อเธออย่างไม่น่าอัศจรรย์.
ท่านพระภูมิชะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญก็อุปมา ๔ ข้อนี้จักแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์ต่อพระราชกุมารชยเสนะได้แต่ที่ไหน เพราะอุปมาไม่น่าอัศจรรย์ ข้าพระองค์ไม่เคยได้สดับมาในก่อนเหมือนที่ได้สดับต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระภูมิชะจึงชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล.
จบ ภูมิชสูตรที่ ๖
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 109
อรรถกถาภูมิชสูตร
ภูมิชสูตร มีบทเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภูมิโช (พระภูมิชะ) ความว่า พระเถระนี้เป็นลุงของพระราชกุมาร ทรงพระนามว่า ชยเสน. บทว่า อาสฺจ อนาสฺจ (ทั้งความหวังและความไม่หวัง) ความว่าบางครั้งก็หวัง บางครั้งก็ไม่หวัง. บทว่า สเกเนว ถาลิปาเกน (ด้วยอาหารในถาดอันเป็นอาหารส่วนพระองค์) ความว่าทรงอังคาสด้วยภิกษาที่เป็นไปแล้วตามปกติ คือด้วยภัตที่เขาจัดเตรียมไว้เพื่อพระองค์. บทที่เหลือในบททั้งปวง ง่ายทั้งนั้น ฉะนั้นแล.
จบอรรถกถาภูมิชสูตรที่ ๖