ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมในแต่ละครั้งรวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๑]
[1] ถ้าไม่ได้ระลึกเลยว่า ความตายใกล้ที่สุด อาจจะเกิดขึ้นขณะหนึ่งขณะใด ได้ทั้งนั้น
[2] วันหนึ่งๆ ก็ผ่านไปโดยที่ไม่ได้อบรมเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้น เป็นผู้ประมาทมัวเมา และเป็นการมีชีวิตอยู่ที่ในโลกนี้ อย่างไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระจริงๆ เพราะไม่ได้ถือเอาสิ่งที่เป็นสาระ คือ กุศลประการต่างๆ พร้อมด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจ จากการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
[3] มีทรัพย์สมบัติมาก ก็ตาย มีความรู้ความสามารถมาก ก็ตาย มีญาติสนิทมิตรสหายคอยช่วยเหลือในด้านต่างๆ มาก ก็ตาย หรือ ผู้มีชีวิตที่ไม่ได้เป็นอย่างนี้ ก็ตาย ตายทุกคนจริงๆ ไม่มีใครรอด แต่ใครจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ด้วยการมีโอกาสสะสมความดี และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ
[4] ไม่ควรที่จะหมกมุ่น เพลิดเพลิน มัวเมาในความเป็นหนุ่มสาว จนกระทั่งไม่คิดถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นสาระในชีวิต เพราะเหตุว่า ถ้าจะให้รอไปจนถึงแก่เฒ่าเสียก่อน แล้วจึงจะศึกษาพระธรรมหรือเจริญกุศล เวลาที่ผ่านไปในแต่ละวันๆ นั้น ก็จะเป็นการเพิ่มพูนกิเลสให้ยิ่งขึ้น ทำให้การละคลายขัดเกลากิเลสยิ่งยากขึ้น
[5] พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมในชีวิตปกติประจำวัน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพื่อให้พุทธบริษัทพิสูจน์ว่า พระธรรมที่ทรงแสดง ถูกต้องเป็นความจริงอย่างนั้นหรือไม่ ไม่ใช่ใครบังคับให้ใครเชื่อ แต่ว่าทรงแสดงโดยละเอียด เพื่อที่จะให้เห็นว่า สภาพธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ตัวตน สัตว์บุคคล และ พิสูจน์ได้ ซึ่งมีผู้ที่พิสูจน์จนประจักษ์แจ้งแล้วด้วย แต่ต้องอาศัยการอบรมด้วยการฟัง จนกว่าจะเข้าใจเรื่องของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพิ่มขึ้นๆ
[6] ผู้ตรงต่อเหตุผลเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ได้สาระจากพระธรรม
[7] ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็ควรที่จะการฟังเรื่องของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ จนเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่อยากจะฟังมากๆ แต่ว่าไม่พิจารณาว่า ธรรมคือสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น การฟังธรรม คือ การฟังเรื่องของสิ่งที่ปรากฏ ให้ละเอียดขึ้น ชัดเจนขึ้นลึกซึ้งขึ้น จนกว่าจะเป็นปัจจัยให้สติเกิด แล้วก็ศึกษา จนกว่าจะรู้ชัดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้เอง
[8] ปัญญา เป็นสภาพธรรมที่เข้าใจถูก เห็นถูก เป็นไปไม่ได้ ที่ปัญญาจะเข้าใจผิด - เห็นผิด
[9] ช้อนตก ปากกาตก สิ่งของตก เก็บให้เขาได้ไหม หรือให้เขาเก็บเอง? อกุศลไม่เคยปล่อยโอกาสให้เจริญกุศล แต่ถ้าเป็นปัญญาแล้ว ย่อมไม่รั้งรอ ในการเจริญกุศลแม้จะเล็กน้อยก็ตาม เพราะปัญญาเห็นโทษของอกุศล และถ้ากุศล ไม่เกิด อกุศลก็ย่อมเกิด
[10] สะสมอกุศลมากๆ ก็เป็นผู้หนักด้วยอกุศล หนักแล้วจม จมลงในอบายภูมิ จมลงในสังสารวัฏฏ์ต่อไป
[11] โลภะ พาไปทุกทิศทุกทาง โดยไม่รู้ตัวเลย ตราบใดที่กุศลไม่เกิด
[12] ถ้ารักสุขเกลียดทุกข์ ก็ต้องสะสมแต่สิ่งที่ดีงาม ในชีวิตประจำวัน
[13] ขณะที่จิตเป็นอกุศล ไม่มีค่าเลยแม้แต่น้อย
[14] ไม่มีใครทำร้ายเราได้ นอกจากกิเลสของเราเอง ขณะที่คิดร้าย หรือทำร้ายคนอื่น นั้น ก็เป็นการทำร้ายตัวเองแล้ว ด้วยอกุศลที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นโทษแก่ตนเอง โดยส่วนเดียว
[15] ผู้ที่จะเห็นโทษเห็นภัยของการเวียนว่ายตายเกิด เห็นโทษภัยของสังสารวัฏฏ์ ได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา
[16] ถ้าไม่เห็นโทษของอกุศล เป็นผู้กระทำอกุศล อยู่เนืองนิตย์ ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา วันหนึ่งใครจะรู้ได้ว่า ท่านจะกระทำอกุศลกรรมหนักเพียงไร เพราะว่าการที่จะกระทำอกุศลกรรมหนักๆ ได้ ย่อมมาจากการกระทำไปทีละเล็ก ทีละน้อย จนกระทั่งขาดความละอาย ขาดความเกรงกลัว แล้วก็สามารถที่จะกระทำทุจริตกรรมที่ร้ายแรงได้ เพราะฉะนั้น เรื่องของอกุศลธรรม จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรประมาทเลยจริงๆ
[17] เมื่อเห็นว่า ควรที่จะเจริญกุศล ก็ควรเริ่มเจริญจริงๆ เพียรจริงๆ ที่จะให้ตั้งอยู่ในฝ่ายของกุศลธรรม เท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะเหตุว่า อกุศล พร้อมที่จะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
[18] เมื่อมีโอกาส ที่จะได้ฟัง และ เห็นประโยชน์ของพระธรรม แล้วเริ่มฟัง เริ่มศึกษา ก็จะมีโอกาสรอดพ้นจากอวิชชา ซึ่งเป็นความไม่รู้ ได้
[19] เครื่องเตือนที่ดีที่สุด คือ พระธรรม
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๑๐ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๐
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะครับ
เครื่องเตือนที่ดีที่สุด คือ พระธรรม
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่นครับ
"ถ้าจะให้รอไปจนถึงแก่เฒ่าเสียก่อน แล้วจึงจะศึกษาพระธรรมหรือเจริญกุศล เวลาที่ผ่านไปในแต่ละวันๆ นั้น ก็จะเป็นการเพิ่มพูนกิเลสให้ยิ่งขึ้น ทำให้การละคลายขัดเกลากิเลสยิ่งยากขึ้น"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่นค่ะ
ไม่มีใครทำร้ายเราได้ นอกจากกิเลสของเราเอง ขณะที่คิดร้ายหรือทำร้ายคนอื่น นั้น ก็เป็นการทำร้ายตัวเองแล้ว ด้วยอกุศลที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นโทษแก่ตนเองโดยส่วนเดียว
เป็นข้อคิดเตือนใจที่ดี
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณคำปั่นด้วยค่ะ
โลภะ ติดทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นโลกุตตรธรรมค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ