ก่อนการตรัสรู้นั้นโลกมืด มืดด้วยอวิชชา เพราะแม้สภาพธรรมปรากฏแต่ก็ไม่สามารถรู้ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมนั้นๆ ได้ และเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงประกาศพระอริยสัจจธรรม ความสว่างด้วยปัญญาคือการสามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมก็เกิดขึ้นในโลก แต่เฉพาะในพุทธบริษัท ตามข้อความใน ปรมัตถโชติกา อรรถกถา ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ซึ่งอุปมาว่า
พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนจักษุแพทย์เพราะทรงลอกพื้นชั้นโมหะออกได้แล้ว พระธรรมเปรียบเหมือนอุบายเครื่องลอกพื้นของตา พระสงฆ์ผู้มีพื้นชั้นตาอันลอกแล้ว ผู้มีดวงตาคือญาณอันสดใส เปรียบเหมือนชนที่ลอกพื้นตาแล้วมีดวงตาสดใส
คนที่เป็นต้อคงจะเห็นได้ชัดว่า มองไม่ชัด และพร่ามัวไปหมด เพราะฉะนั้น เวลาที่ปัญญาไม่เกิด ก็ไม่สามารถรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ แต่เมื่อใด มีตาคือญาณอันสดใส ขณะนั้นก็จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
ที่มา อ่าน และฟังเพิ่มเติม
โลกมืดด้วยอวิชชา
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า อยํ โลโก ความว่า โลกิยมหาชนนี้ ชื่อว่าเป็นเหมือนคนบอด เพราะไม่มีจักษุคือปัญญา. สองบทว่า ตนุเกตฺถ ความว่า ชนในโลกนี้น้อยคน คือไม่มาก จะเห็นแจ้งด้วยสามารถ แห่งไตรลักษณ์มีไม่เที่ยงเป็นต้น. บทว่า ชาลมุตฺโตว ความว่า บรรดาฝูงนกกระจาบที่นายพรานนกผู้ฉลาดตลบด้วยข่ายจับเอาอยู่ นกกระจาบบางตัวเท่านั้น ย่อมหลุดจากข่ายได้, ที่เหลือย่อมเข้าไปสู่ภายในข่ายทั้งนั้น ฉันใด; บรรดาสัตว์ที่ข่ายคือมารรวบไว้แล้ว สัตว์เป็นอันมาก ย่อมไปสู่อบาย, น้อยคนคือบางคนเท่านั้น ไปในสวรรค์ คือย่อมถึงสุคติหรือนิพพาน ฉันนั้น.
ในเวลาจบเทศนา นางกุมาริกานั้น ดำรงอยู่โนโสดาปัตติผล, เทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่มหาชน.
ถ้าไม่ได้ฟังความที่จริงที่ทรงแสดง ก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้บอดมาแสนนาน และต้องบอดมืดสนิทต่อไป หลงยึดถือว่า เราเห็น เราได้ยิน เราได้กลิ่น เราลิ้มรส เรากระทบแข็ง เย็น ร้อน อ่อนแข็ง เราคิดนึก ขณะนั้นก็บอดสนิท แล้ว ๓ ขณะจิตหลังจากนั้น ก็สะสมเหตุต่อไปที่ต้องเกิดแล้วเกิดอีกด้วยความบอด การท่องเที่ยวทางโลกทั้ง ๖ ไม่มีวันจบ ด้วยความไม่รู้ เพราะไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
เที่ยวไปไม่รู้จบ
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
และขอบพระคุณมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาในการเผยแพร่ธรรมทานค่ะ
อนุโมทนา สาธุค่ะ
ยินดีในกุศลจิตครับ