พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 430
ผู้โจทก์พึงมนสิการธรรม ๕ ประการ
[๕๑๐] พระอุบาลีทูลถามว่า ภิกษุผู้โจทก์ ปรารถนาจะโจทก์ผู้อื่นพึงมนสิการธรรมเท่าไรไว้ในตน แล้วโจทผู้อื่น พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทก์ผู้อื่น พึงมนสิการธรรม ๕ อย่างไว้ในตน แล้วโจทก์ผู้อื่น คือ :-
๑. ความการุญ๒. ความหวังประโยชน์๓. ความเอ็นดู๔. ความออกจากอาบัติ๕. ความทำวินัยเป็นเบื้องหน้า.
ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทก์ผู้อื่น พึงมนสิการธรรม๕ อย่างนี้ไว้ในตน แล้วโจทก์ผู้อื่น.
ผู้ถูกโจทก์พึงตั้งอยู่ในธรรม ๒ ประการ
[๕๑๑] พระอุบาลีทูลถามว่า ก็ภิกษุผู้ถูกโจทก์ พึงตั้งอยู่ในธรรมเท่าไร พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผู้ถูกโจทก์ พึงตั้งอยู่ในธรรม ๒ ประการ คือ ความจริง ๑ ความไม่ขุ่นเคือง ๑.
ปาติโมกขฐปนขันธกะ ที่ ๙ จบในขันธกะนี้มี ๓๐ เรื่อง ๒ ภาณวาร
พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 345
พาลวรรคที่ ๓
สูตรที่ ๑
ว่าด้วยคนพาล ๒ จำพวก
[๒๗๖] ๒๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวก ๒จำพวก
เป็นไฉน คือ คนที่ไม้เห็นโทษโดยความเป็นโทษ ๑ คนที่ไม่รับรอง
ตามธรรม เมื่อผู้อื่นแสดงโทษ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒
จำพวกนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็น
ไฉน คือ คนที่เห็นโทษโดยความเป็นโทษ ๑ คนที่รับรองตามธรรม
เมื่อผู้อื่นแสดงโทษ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๑
เป็นประโยชน์ในชีวิตฆราวาสเหมือนกันครับ เช่น เวลาที่เห็นคนใกล้ชิด ได้กระทำผิดลงไปแล้วมีความเมตตา กรุณา คิดที่จะเตือนเขา ก็ควรที่ผู้เตือนจะระลึกเสมอว่า ...ที่คิดจะเตือนก็เนื่องด้วยความการุญ ความหวังประโยชน์ ความเอ็นดู ความที่เขาที่จะได้รู้สึกตัวว่าผิดและไม่ทำสิ่งทื่ผิดอีกต่อไป และจะได้เจริญธรรมะที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อจะซ้ำเติม หรือทำให้ไม่สบายใจ เช่นเดียวกับเวลาถูกใครเตือน ผู้ถูกเตือนก็ควรพิจารณาจากความจริงว่า ตนผิดจริงหรือไม่ ถ้าผิดจริง ก็ไม่ควรขุ่นเคืองใจครับ เพราะที่ผิดไปแล้วก็เป็นธรรมะ แต่เป็นธรรมะที่ถ้าเห็นโทษด้วยปัญญาแล้วก็ควรที่จะละเสีย ไม่ควรกระทำอีกครับ
.........................ขออนุโมทนาค่ะ........................