ท่านที่เข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐานถูกต้อง จะทิ้งสิ่งที่ผิดปกติ
โดย สารธรรม  7 ก.ย. 2565
หัวข้อหมายเลข 43724

. ดิฉันสงสัยที่ท่านอาจารย์บอกว่า ให้เจริญวิปัสสนาทางตา หรือทางลิ้น ทางตาก็พอจะทราบ เพราะว่าได้มองเห็นอะไรๆ แล้วจะได้เอามาพิจารณาได้ ทางลิ้นนี้นอกจากจะรับประทาน จึงจะทราบเอามาพิจารณาได้ ดิฉันสงสัยตอนนี้

สุ. การเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่ต้องคอย ถ้าทางลิ้นไม่มีในขณะนี้ อะไรกำลังปรากฏ ก็มีสติ รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ทางลิ้นเวลานี้มีไหม ไม่มี ทางตามีไหม มี เจริญสติปัฏฐานได้ไหม ได้ แล้วแต่ว่าอะไรปรากฏ นอกจากแล้วแต่อะไรปรากฏแล้ว ก็ยังแล้วแต่ว่าสติจะรู้อะไร การเจริญสติปัฏฐานเป็นอนัตตาจริงๆ มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วแต่สติจะพิจารณา ได้ยินหรือเสียง หรือว่าจะพิจารณาเย็นที่กำลังกระทบ หรือว่าจะพิจารณาสภาพที่กำลังคิด หรือกำลังเป็นสุขเป็นทุกข์ในขณะนี้ ไม่บังคับ

. ดิฉันเข้าใจว่า ไม่รวมหมดทุกคนไป โดยเฉพาะตัวดิฉันเอง ทำได้โดยเฉพาะบางกรณี อยู่บ้านเห็นอะไร สติมันก็เกิด แต่จะให้สงบจริงๆ ต้องไปที่ปฏิบัติจริงๆ สติของเรามันจะเกิดได้ทุกขณะอย่างอาจารย์ว่าก็ใช่

สุ. ดิฉันเรียนถามถึงปัญญา ดิฉันไม่ได้ถามถึงเรื่องความสงบ

. ปัญญาเกิดได้ทางตาเห็น หรืออะไรอย่างนี้ ก็พิจารณาได้เหมือนกัน แต่จะให้สงบจริงๆ ก็ต้องไปที่ปฏิบัติ นี่เกิดจากตัวดิฉันเอง คือจะทำก็อาย จะไปนั่งหลับตา เด็กๆ เห็น เด็กจะว่าบ้าหรือไงนี่ คือมีอคติในตัวเองอย่างนี้

สุ. ทำไมถึงว่าอับอายขายหน้า

. ไม่ใช่อาย คือ กลัวเด็กจะว่าไปนั่งทำอะไร คล้ายๆ กับมีหิริโอตตัปปะในตัวเอง กลัวเด็กๆ จะว่าแม่เป็นบ้า หรือเป็นอะไรทำนองนั้น คือคิดไปเอง แต่ถ้าไปอยู่ในหมู่ผู้ปฏิบัติด้วยกัน ทำก็ทำเหมือนกัน รู้สึกว่าจิตมันสงบดี

สุ. ขอความรู้ให้ท่านผู้ฟังได้ทราบโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ดิฉันก็ยังเข้าใจตามที่ได้กล่าวนี้ รู้สึกว่าการเจริญสติปัฏฐานไม่ได้เป็นปกติเลย เพราะเหตุว่ากลัวเด็กหรือว่ากลัวคนอื่นจะมาเห็น ยังไม่เข้าใจ ปกติขณะนี้ของการเจริญสติปัฏฐานเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษที่จะต้องไปทำอะไรให้ผู้อื่นคิดว่าเป็นบ้า หรือว่าไม่ต้องไปทำอะไรให้คนอื่นมาหัวเราะเยาะ หรือขบขัน ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ถ้าเป็นการเจริญสติปัฏฐานแบบนี้ พระผู้มีพระภาคไม่ทราบว่าจะใช้คำอย่างไร คงจะแย่ทีเดียวที่ทำให้ผู้เจริญสติปัฏฐานแล้ว คนอื่นเห็นว่าเป็นบ้า หรือว่าเป็นคนที่ผิดปกติ ไม่ใช่เป็นคนที่รู้แจ้งตามปกติ แต่การเจริญสติปัฏฐานไม่มีผู้ใดตำหนิเลย ทั้งกายวาจาของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาที่เจริญสติปัฏฐาน ไม่เป็นช่องทางให้ใครขบขัน หัวเราะเยาะ หรือคิดว่าเป็นคนที่แปลกผิดปกติไปได้

. ที่ดิฉันทำ มีการยกมืออะไรทำนองนี้ ทีนี้อาจารย์ปฏิบัติอย่างนี้คือจับให้รู้เฉพาะที่เหตุมันเกิด ก็ไม่มีใครสามารถจะหยั่งรู้จิตใจ จับอะไรก็ไม่มีใครรู้ แต่อันนี้มีการยกมือ อะไรทำนองนี้ มีกิริยาเกิด ที่ดิฉันปฏิบัติมีการแสดงออก อย่างของที่อาจารย์สอน ให้จับรู้เฉพาะเหตุที่เห็นที่เกิด อย่างนี้ก็ไม่มีใครมาทราบจิตใจของเราได้ เราเห็นอะไรก็ไม่มีใครทราบ แต่อันนี้มีการแสดงออก และมีคนเขาเห็น ถ้าไปทำประเจิดประเจ้อรู้สึกว่าไม่ดี จะต้องไปสู่สถานที่เฉพาะพวกเดียวกัน

ผู้ฟัง ผมสนับสนุนคุณพี่ คือผู้ที่เจริญสติปัฏฐานใหม่ๆ ยังไม่รู้อะไร ความไม่รู้นี้ทำให้จงใจ เพราะอยากจะดูรูปนั่ง อยากดูรูปนั่งเพราะไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็เกิดความจงใจ อยากจะยืนดูรูปยืน นั่งๆ อยู่เดี๋ยวจะลุกขึ้นยืน ทีนี้คนอื่นนั้นจริงอย่างคุณพี่ว่า ยายคนนี้นั่งเงียบๆ เดี๋ยวลุก อยากจะดูรูปเหยียดแขนบ้าง เดี๋ยวจะดูรูปยืนบ้าง แต่เรื่องนี้เปรียบเหมือนเด็กสอนเดิน กับคนเดินเป็น คนเจริญสติปัฏฐานใหม่ๆ นี้เหมือนเด็กเริ่มเดินเตาะแตะ อย่างอาจารย์นี้เดินเก่งแล้วนี่ครับ ทำแล้ว รู้แล้ว หรืออย่างใครก็ตามที่มีภูมิปัญญาเพียงพอแล้ว นั่งเฉยๆ ในขณะนี้ เกิดความรู้สึกว่าไม่พอใจ กำหนดรู้เดี๋ยวนั้นได้เลย หรือเห็นกำหนดเห็นได้เลย ไม่มีอิริยาบถผิดปกติ เพราะรู้เสียแล้วว่า เพียงแต่เรายกรูปนี้นะ นี่คือรูป เราพูดอย่างนี้เป็นวจีวิญญัติ ปากพูดในขณะที่ได้ยิน หรือคนเห็นนี่นะเป็นนามเห็น กิริยาละเมียดละมัยไปแล้ว เป็นไปโดยอัตโนมัติ เพราะอะไร เพราะตัวมีภูมิรู้อยู่แล้ว แต่ผู้เข้าใหม่เหมือนเด็กหัดเดิน การทำกิริยาจะให้แนบเนียนเหมือนผู้ที่เป็นไปเดิน ย่อมเป็นไปไม่ได้ อยากดูเพราะมีเจตนา เพราะอยากจะรู้ธรรมคำสอนของพระองค์ว่า รูปยืนเป็นอย่างไร รูปเดินเป็นอย่างไร ก็เดินย่องๆ นี่ผิดๆ ทั้งนั้น นี่แหละครับที่ผมบอกว่า อย่างที่คุณพี่ว่านี่แหละใช่ คนอื่นเขาจะหาว่าบ้าจริงๆ ครับ แต่เมื่อทำเป็นแล้ว รู้จักวางใจ รู้จักสติ เวลาอารมณ์เกิดขึ้น ก็ไว เฉียบแหลม จับทันแล้ว ทีนี้ความเก้งก้าง ความไม่น่าดูก็ค่อยๆ ลดลงไป ความละเมียดละมัย ความไวของจิตดีขึ้น

สุ. อยากให้ผู้ฟังพิจารณาพระภิกษุ กิจวัตรของท่านมีอะไรที่เก้ๆ กังๆ หรือว่าทำให้คนอื่นรู้สึกว่าผิดปกติไหม เพราะพระภิกษุนั้นท่านเป็นผู้ที่เจริญสติ ถ้าอย่างนั้นต้องทำเก้ๆ กังๆ เสียก่อนหรือ ไม่ทราบว่าผู้ใดจะมีศรัทธาทำเก้ๆ กังๆ บ้างไหม เพราะเหตุว่าผู้ฟังก็มีสิทธิที่จะเลือกสรรธรรมที่จะพิจารณา แล้วแต่ฉันทะของแต่ละท่าน ถ้าท่านผู้ใดอยากจะเก้ๆ กังๆ หรือว่าทำอะไรที่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าผิดปกติ ไม่ใช่คนธรรมดานั่นก็เป็นฉันทะ หรือความพอใจของท่าน แต่ท่านที่เข้าใจเรื่องของการเจริญสติปัฏฐานถูกต้อง ท่านจะทิ้งสิ่งที่ผิดปกติอย่างนั้น ไม่ได้เคยพบที่ไหนเลยว่าให้เจริญเก้ๆ กังๆ ตามที่ท่านผู้ฟังกล่าวว่า เหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นเหมือนๆ กัน ไปอยู่รวมๆ กัน คนอื่นไม่ว่า แต่ว่าถ้าคนที่อื่นๆ ที่เห็นเข้า ก็จะรู้ว่าเป็นพวกที่แปลกพวกหนึ่ง แต่พวกที่อยู่ด้วยกันบอกว่าไม่แปลกเพราะว่าเหมือนกัน มีท่านผู้ฟังท่านใดที่มีความคิดเห็นอะไรบ้างไหม เพราะว่าเป็นเรื่องของเหตุผล เป็นเรื่องของความรู้ เป็นเรื่องของความถูกต้อง แต่เป็นเรื่องอนัตตาด้วย คือ ไม่มีใครบังคับเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของท่านได้ แล้วแต่ฉันทะความพอใจของท่าน


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 34