เพราะมีความเกิด จึงมีชรา และมรณะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ เรื่อง การเกิดเป็นทุกข์อย่างไร
เรณู ยังมีคำถามที่เนื่องจากพระสูตรเมื่อเช้านี้ ข้อที่ ๑ การเกิดในปฐมสูตรนี้ หมายถึงอะไร มีอะไรบ้าง ข้อที่ ๒ ความหนาว ความร้อน ความหิวเป็นต้น เป็นการเกิดได้อย่างไร ช่วยกรุณาอธิบายให้พอเข้าใจ กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์สุจินต์ค่ะ
ส. ข้อความในอรรถกถาก็อธิบายว่า ปริพาชกถามท่านพระสารีบุตรถึงสุข ทุกข์ที่มีวัฏฏะเป็นมูล วัฏฏะ คือการเกิดวนเวียนชาติแล้วชาติเล่า แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเราจะคิดให้สั้นกว่านั้น คือ คิดถึงขณะจิต เพราะว่าเวลาที่คิดถึงเรื่องจิต บางท่านอาจจะเข้าใจว่าจิตเที่ยงเป็นเวลานาน คือเมื่อเกิดแล้ว ก็เป็นจิตนั่นแหละอยู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงขณะจิตสุดท้าย คือ ขณะที่จากโลกนี้ไป แต่ว่าผู้ที่ตรัสรู้แล้วทรงแสดงเรื่องของจิตละเอียดมากว่า จิตเป็นสภาพที่ไม่เที่ยง เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย เช่น ขณะที่เสียงกระทบ ขณะนั้นจิตได้ยินจะเกิดขึ้นได้ยินเสียง ที่เราคิดว่าเราได้ยิน ความจริงก็เป็นสภาพของจิตที่สามารถที่จะได้ยินเสียง สามารถที่จะเห็น สามารถที่จะคิดนึก ก็เป็นลักษณะของจิตประเภทต่างๆ กัน
เพราะฉะนั้น ในที่นี้มุ่งหมายการเกิดซึ่งก็วนเวียนไปในภพต่างๆ หรือแม้ในชาติ หนึ่งก็วนเวียนไปทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง ไม่หยุดเลย เพราะฉะนั้น การที่จะดับทุกข์จริงๆ ก็คือต้องกับการเกิด เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีการเกิดแล้วทุกข์ใดๆ ก็ไม่มี
เรณู ยังมีต่อเนื่องอีก ข้อ ๑ อย่างไรที่เรียกสัมผัสท่อนไม้ จึงเป็นทุกข์ ข้อ ๒ การเกิดเป็นทุกข์ หมายถึงว่ามีลูกก็เป็นทุกข์ใช่ไหม แล้วคนที่ไม่มีลูกก็ไม่ทุกข์ใช่ไหม
ส. ไม่ได้พูดถึงลูก หรือไม่ลูก แต่หมายความว่าการเกิดขึ้นต้องเป็นทุกข์ เพราะเหตุว่าเมื่อเกิดแล้ว มีไหนที่จะไม่รักไม่ชัง ที่จะไม่โกรธ ที่จะไม่โลภ ที่จะไม่ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยที่ไม่รู้ว่า ขณะนั้น ถ้าไม่ติดข้องจะไม่ทุกข์ แต่ว่าห้ามไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ถึงสมุฏฐานของการเกิดว่า เกิดมาเพราะอะไร และที่จะไม่เกิดนั้น เพราะอะไร
เรณู ข้อที่ ๓ คงได้ตอบกันหลายครั้งแล้ว ช่วยอธิบาย ๑ การเกิด ๒ เกิดทุกข์ เกิดสุข ให้ถามที่ละคำถาม จะมีอะไรเพิ่มเติม ท่านอาจารย์ คะ
ส. ทุกคนก็มีสุข มีทุกข์เป็นประจำ ต้องบอกว่าเป็นประจำจริงๆ และก็แถมอุเบกขา ซึ่งไม่ค่อยจะรู้ เพราะว่าวันหนึ่งๆ มีความรู้สึก จริงๆ แล้วก็ คือ เวทนาเจตสิก ๕ ประเภท เป็นสุขทางกาย ๑ เป็นทุกข์ทางกาย ๑ เป็นโสมนัส คือ สบายใจหรือสุขใจ ๑ เป็นโทมนัสคือทุกข์ใจ หรือไม่สบายใจ ๑ และอุเบกขา คือ ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะฉะนั้น ก็มีอีกชื่อหนึ่ง คือ อทุกขมสุขเวทนา หมายความว่า เป็นสภาพเวทนาซึ่งไม่สุข ไม่ทุกข์ อะไรจะมีมากว่ากันในวันหนึ่งๆ สำหรับความรู้สึก เมื่อมีชีวิตแล้วจะไม่มีความรู้สึกไม่ได้ เมื่อจิตเกิดที่ใดต้องมีความรู้สึกเกิดร่วมกับจิตนั้นทุกครั้ง เพียงแต่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ ส่วนใหญ่เราจะรู้เมื่อเป็นทุกข์ เป็นสุข เป็นโสมนัส หรือเป็นโทมนัส แต่อุเบกขานี้เราจะไม่รู้เลย
เพราะฉะนั้น จากการตรัสรู้ก็ทรงแสดงสภาพความจริงของสภาพธรรมะโดยละเอียดว่า จะพ้นจากเวทนาไม่ได้เลย เมื่อมีการเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีจิต ไม่มีการเกิด เวทนาก็จะเกิดกับจิตนั้นไม่ได้ด้วย ไม่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือว่าเฉยๆ อีกต่อไป
ขอบคุณมากคะ ขออนุโมทนาสาธุ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตราบใดที่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องเกิดอีกในภพภูมิต่างๆ อย่างแน่นอน ยังไม่พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏฏ์ไปได้ยังต้องเดินทางต่อไปในสังสารวัฏฏ์ทั้งในสุคติภูมิ และอบายภูมิอีกอย่างนับชาติไม่ถ้วน, เป็นที่น่าพิจารณาว่า เป็นเรื่องที่ยากจริงๆ กับการที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งก็น่าพิจารณาว่า ชาตินี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ชาติหน้าอาจจะไปเกิดในอบายภูมิก็ได้ เป็นไปได้ทั้งนั้น ซึ่งจะประมาทในชีวิตไม่ได้เลย เพราะถ้าหากอาศัยความประมาทเพียงนิดเดียว อาจจะนำพาเราไปสู่อบายภูมิ ซึ่งเป็นภูมิที่ปราศจากความเจริญในกุศลธรรม หมดโอกาสที่จะได้เจริญกุศลยิ่งขึ้น ก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นแล้ว ดีแล้วที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แม้ว่าจะมีชีวิตที่ยากลำบากเพียงใด ชีวิตยังมีค่า ที่จะได้ที่จะได้สะสมความดีและอบรมเจริญปัญญาต่อไป ครับ
ขอเชิญคลิกฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
เพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
เกิดเป็นทุกข์
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
สาธุ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา