ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๐๘
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณา แสดงธรรมให้ทุกคนได้ฟัง ไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกของตนเอง จนสามารถที่จะรู้ได้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา มิฉะนั้น ก็ไม่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แต่เอ่ยชื่อ ถ้าไม่เข้าใจตั้งแต่คำแรก คือคำว่า ธรรม จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนไม่ได้เลยทุกกาลสมัย ทุกอย่างแม้เดี๋ยวนี้ก็ตรงกับความจริงที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เพราะว่า เมื่อตรัสรู้แล้วพระองค์ตรัสว่า ธรรม ลึกซึ้ง ละเอียด ยากที่จะรู้ได้
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ ลึกซึ้ง ต้องเริ่มด้วยการที่ว่าขณะที่กำลังฟัง คำเดียวเข้าใจจริงๆ หรือยัง ขอให้เข้าใจอย่างมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา ทุกอย่างที่เข้าใจผิดว่าเป็นเรานั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
~ พระพุทธเจ้า เป็นรัตนะ เพราะทำให้ผู้อื่นได้เกิดปัญญาความเข้าใจที่ถูกต้อง พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นรัตนะเพราะทำให้ผู้ที่ได้ฟังมีความเข้าใจถูกเพิ่มขึ้น ได้เข้าใจความจริงจนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงตามที่ได้ฟังจนถึงความเป็นสังฆรัตนะ คือ สาวกผู้ที่ได้ฟังพระธรรมและดับกิเลสได้ตามพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง
~ อกุศลมากมายเหลือเกิน เก็บเอาไว้เยอะแยะเลยทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ในสังสารวัฏฏ์ที่เนิ่นนาน จะเอาออกได้อย่างไรถ้าติดแน่นหนาแน่นเหนียวแน่นอยู่ในใจ หนทางเดียว ก็คือ เห็นประโยชน์ของกุศล รู้ว่า แม้เพียงเล็กน้อย ก็จะค่อยๆ สะสมไป
~ ถ้ารู้ความจริงของธรรม ถ้าเกิดพลัดพรากจากคนที่เป็นที่รัก จะเดือดร้อนไหม เป็นธรรมดาหรือเปล่า พลัดพรากมาแล้วนานเท่าไหร่ ชาติก่อนๆ ก็พลัดพรากจากชาติก่อนหมดเลย ไม่เหลือเลย ชาตินี้ก็พลัดพรากอยู่ทุกขณะ จนกว่าจะถึงขณะสุดท้ายซึ่งไม่เหลืออีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ก็พลัดพรากโดยตลอด เดือดร้อนไหม ถ้าเข้าใจถูกต้องว่า เป็นธรรมซึ่งต้องเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น?
~ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องกรรมและผลของกรรม จะไม่รีรอในการทำกุศลทุกประการ ทุกขณะด้วย ทำให้เราเจริญทางฝ่ายกุศลยิ่งขึ้น เพราะว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราจะไม่อยู่โลกนี้ในวันไหน อาจจะเป็นขณะต่อไป พรุ่งนี้ หรือเดือนนี้ก็ได้
~ ทุกขณะเป็นอนัตตา ไม่มีอะไรเลยที่ไม่ใช่อนัตตา เห็นก็เป็นอนัตตา ได้ยินก็เป็นอนัตตา คิดนึกก็เป็นอนัตตา สติก็เป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ไม่รู้ว่าเป็นอนัตตา จึงยึดถือว่าเป็นเรา
~ กุศลเจริญเพราะปัญญา ก็จะทำให้ค่อยๆ ละคลายหรือลดกำลังของอกุศล ปัญญาจะทำให้กุศลต่างๆ เจริญขึ้น ทั้งความอดทนเวลาที่ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจก็อดทนได้ หรือประสบกับสิ่งที่น่าพอใจก็ยังอดทนที่จะไม่ให้เป็นโลภะอย่างรุนแรง หรือว่าแล้วแต่กำลังของปัญญา และกุศลอื่นๆ ก็เจริญด้วย
~ ปัญญาเข้าใจถูกต้องว่า อกุศลเป็นโทษแน่นอน ในขณะที่อกุศลเกิดทำร้ายใคร? ทำร้ายจิตที่กำลังเป็นอกุศลในขณะนั้น แล้วยังทำร้ายต่อไปถึงคนอื่นอีกมากมายตามกำลังของอกุศลนั้นๆ
~ เกิดมาแล้วต้องตาย ไม่ใช่ว่าคนอื่นตายแต่เราไม่ตาย เพราะตายด้วยกันทั้งนั้น สิ่งที่เป็นประโยชน์ก่อนตาย คือ สะสมความดีและฟังพระธรรมให้เข้าใจ
~ นักวิทยาศาสตร์ รู้จักจิต (สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) รูปไหม? ใครรู้จัก? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณาแสดงสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ๔๕ พรรษาเพื่อให้คนอื่นค่อยๆ มีความเข้าใจที่ถูกต้องเพราะยากที่จะเข้าใจได้ ทุกคนมีชีวิตที่สั้นมากเพียงชั่วขณะจิตเดียว เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุดคือ จะฟังคำของใคร? ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วรู้ได้เลย นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลย
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นศาสนา ก็จากการตรัสรู้สภาพธรรมซึ่งบุคคลอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือนักปราชญ์ จะมีความรู้มากสักเท่าไร แต่ก็แสดงธรรม คือ สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่ได้ตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
~ กุศลเกิดยากกว่าอกุศลแน่นอน แต่อบรมบารมี (คุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) ได้ เจริญบารมีได้ เมื่อมีความเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อยสะสมไปเรื่อยๆ เพราะว่า ถ้ารู้จริงๆ ว่า เราสะสมอกุศลมามากเหลือเกิน ขณะใดที่เป็นกุศลจิตและทำกุศล ทำทันที เพื่อเป็นการสะสมจนกว่าจะมีกำลัง มิฉะนั้น โอกาสนั้นก็เป็นโอกาสของอกุศลต่อไปแล้วก็สะสมอกุศลต่อไปอีก
~ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก จะเป็นการค่อยๆ สะสมปรุงแต่งให้มีการกระทำความดี ไม่ละเลยความดีแม้เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันซึ่งแต่ก่อนอาจจะไม่เคยทำ
~ แยกกันเด็ดขาด ระหว่างความดีกับความชั่ว ความชั่วจะเป็นความดีไม่ได้ ความดีจะเป็นความชั่วไม่ได้
~ จะต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา โดยเสพคุ้นกับพระธรรมทีละเล็กทีละน้อย โดยไม่ประมาทเลย มิฉะนั้นแล้ว ก็จะทำให้ห่างไกลออกไปจากการที่จะได้คุ้นเคยกับพระธรรม
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษามากมายมหาศาลแต่ต้องฟังให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละคำ
~ ถ้าไม่ทำดี ก็เป็นโอกาสที่จะเพิ่มอกุศลอย่างมากทีเดียว
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๐๗
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบขอบพระคุณและกราบยินดีในกุศลค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ด้วยจิตที่บริสุทธิ์
และกราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์
ทุกคำที่ให้มา จักสิกขาจนเข้าใจ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว น้อมรับไปในธัมมา อาจารย์สุจินต์ตรง มุ่งดำรงพุทธศาสนา เปี่ยมล้นด้วยเมตตา อีกกรุณาเกินประมาณ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
อนุโมทนาค่ะ
ไม่ละเลยความดีแม้เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันซึ่งแต่ก่อนอาจจะไม่เคยทำ.. กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ