กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน
ขออนุญาตกราบเรียนถามเกี่ยวกับต้นปาริชาติบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ครับ ได้ยินว่า ต้นปาริชาติทิพย์นี้ หากบานแล้ว กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปได้ร้อยโยชน์ อนึ่ง หากเทพบุตรเทพธิดาองค์ใดถูกกลิ่นหอมนี้ต้องแล้ว จะระลึกชาติได้อย่าง น่าอัศจรรย์ ไม่ทราบว่ามีข้อความดังนี้กล่าวไว้หรือไม่ครับ และกลิ่นดอกปาริชาติทิพย์ ทำให้เทพบุตรเทพธิดาระลึกชาติหนหลังได้ด้วยทำนองอย่างไรครับ
กราบขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ต้นปาริฉัตรหรือว่าดินทองหลาง เป็นต้นไม้ประจำในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นต้นไม้ ทิพย์ สูงร้อยโยชน์เมื่อดอกปาริฉัตรบาน จะหอมไปไกลร้อยโยชน์ ซึ่งในพระไตรปิฎก ไม่ได้แสดงข้อความที่เมื่อดอกปาริฉัตรบานแล้ว เทพบุตรได้กลิ่นหอม จะระลึกชาติได้ ไม่มีข้อความนี้ในพระไตรปิฎกครับ มีแต่แสดงไว้ว่าเมื่อทุกพันปี ต้นปาริฉัตรจะออก ดอก เหล่าเทวดา รู้ก็ดีใจ ตั้งแต่ เห็นต้นปาริฉัตรหรือ ต้นทองหลาง มีใบเหลืองจนใบ ร่วงหมด ต้นปาริฉัตรก็ออกดอก เต็มต้น กลิ่นหอม เหล่าเทวดาทั้งหลาย จะมาประชุม ด้วยเหตุที่ ดอกต้นปาริฉัตรบาน ด้วยเหตุคือ ต้องการเพื่อจะมาเล่นกัน ณ บริเวณต้น ปาริฉัตร เป็นเวลา 4 เดือน ส่วน ละอองเกสร ของต้นปาริฉัตร เมื่อโดนต้องกายของ เทวดาทั้งหลาย ก็ทำให้มีร่างกายงดงามแต่ไม่ใช่ทำให้ระลึกชาติได้ครับ ซึ่งหากมอง ตามความเป็นจริง ดอกไม้ กลิ่นหอมของดอกไม้ ก็เป็นเพียงกลิ่นที่เป็นสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม รูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่นามธรรม เพราะฉะนั้นรูปธรรม จึงไม่เป็นเหตุปัจจัยให้ระลึกชาติได้ หากแต่เทวดาที่ระลึกชาติได เพราะอาศัยการโตทันที เป็นโอปปาติกะ จึงทำให้ระลึกชาติที่ผ่านมาได้ โดยไม่ต้องอาศัยกลิ่นหอมของ ดอกปาริฉัตรครับ
สิ่งที่ควรพิจารณา คือ ธรรมที่เกี่ยวข้องกับต้นปาริฉัตร หรือ ต้นทองหลาง ใน พระไตรปิฎก ที่น่าศึกษา อันเป็นเหตุให้เกิดปัญญา ละคลายกิเลส ซึ่งมีหลายเรื่องให้ พิจารณา พระพุทธเจ้าทรงแสดง พระธรรม ในเรื่องของกลิ่นไว้น่าฟังว่า กลิ่น แม้จะมี กลิ่นนหอมเพียงใดก็ตาม จากต้นไม้ทิพย์ มีต้นปาริฉัตร เป็นต้น กลิ่นทิพย์นั้นก็ต้อง อาศัยลม และ ไม่สามารถหอมทวนลมได้ ก็หอมไปตามลม แต่กลิ่นที่ประเสริฐ คือ กลิ่นของศีล ซึ่งฟุ้งขจรไปทั่วทุกทิศ เพราะเหตุว่า ขจรไป ในหมู่บัณฑิต ที่รู้ก็ย่อม สรรเสริญ คุณธรรมที่เป็นศีล ที่มีอยู่กับผู้ที่มีศีล ครับ
"กลิ่นดอกไม้ฟุ้งไปทวนลมไม่ได้, กลิ่นจันทน์ หรือกลิ่นกฤษณาและกลัมพักก็ฟุ้งไปไม่ได้, แต่กลิ่นของสัตบุรุษฟุ้งไปทวนลมได้, (เพราะ) สัตบุรุษย่อมฟุ้งขจรไปตลอดทุกทิศ, กลิ่นจันทน์ก็ดี แม้กลิ่นกฤษณาก็ดี กลิ่นอุบลก็ดี กลิ่นดอกมะลิก็ดี, กลิ่นศีลเป็นเยี่ยม กว่าคันธชาตทั้งหลายนั่น.
อีกเรื่องที่น่าฟัง น่าศึกษา คือ เรื่องของพระปัจเจกพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ซึ่ง พิจารณา สภาพของต้นปาริฉัตร ต้นทองหลาง และได้บรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ในเวลาต่อมา เรื่องมีอยู่ว่า
ในอดีตกาล มีพระราชา เที่ยวในอุทยาน ทรงเห็นต้นปาริฉัตร งดงาม ออกดอก บานสะพรั่ง ดั่งเช่น บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทรงเด็ดดอกไม้ 1 ดอก เพื่อชมความงาม อำมาตย์ เห็นพระราชาเด็ด ก็เด็ดด้วย บริวารทั้งหายก็เด็ดตาม ทำให้ต้นทองหลาง ต้นปาริฉัตร มีดอกหายหมด พระราชาเมื่อกลับมาที่พระราชอุทยานตอนเย็น กลับมา เห็นต้นปาริฉัตร มีดอกหายหมดสิ้น พระองค์ทรงรำพึงว่า เมื่อก่อนต้นปาริฉัตรมี ความงามเต็มไปด้วยดอก มาบัดนี้ หายหมดสิ้น ธรรมดา ต้นปาริฉัตรที่มีความงาม เต็มไปด้วยดอก ย่อมเป็นที่ตั้งของโลภะ ของสัตว์โลกทั้งหลายที่ปรารถนากัน แม้ ราชสมบัติที่เราปกครองอยู่ก็เป็นที่ตั้งของโลภะของคนทั้งหลายและเราด้วย ควรที่ จะสละราชสมบัติทิ้งไป ออกบวช พระองค์ทรงสละราชสมบัติ ออกบวชได้บรรลุเป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า
แม้อีกเรื่องหนึ่ง พระราชา อาศัย ต้นทองหลาง บรรทมอยู่ใต้ต้นทองหลาง ในแต่ ละฤดู ตั้งแต่ต้นทองหลาง มีใบ ดอกบานสะพรั่ง จนใบ และดอกร่วงหมด ทรง พิจารณาความจริง ถึงความไม่เที่ยง สภาพธรรมทั้งหลายที่ถูกชรา นำไป ทรงสละ ราชสมบัติ ออกบวช บรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า กล่าวพระคาถาว่า บุคคลละเพศแห่งคฤหัสถ์ ดุจต้นทองหลางมีใบร่วงหล่นแล้วนุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกบวชเป็นบรรพชิต เที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้น ดังนี้.
อีกเรื่องหนึ่ง สุพรหมเทพบุตร กำลังเล่นกับเทพธิดา และ บริวาร ที่ต้นปาริฉัตร บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทพธิดาองค์หนึ่ง กำลังปีนต้นปาริฉัตรเล่น จุติแล้ว ไปเกิด ในนรก สุพรหมเทพบุตร รู้ความจริงนั้นเกิดความสะดุ้งกลัว เพราะรู้ว่าตนเองก็อาจ จะต้องไปนรก เช่นกัน จึงไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์แสดงธรรม บรรลุเป็น พระโสดาบัน
จากเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมด แสดงให้เห็นข้อสำคัญประการหนึ่ง คือ ปัญญาสามารถเกิดได้ทุกที่ทุกเวลา หากปัญญาถึงพร้อม หากได้สะสมปัญญามาแล้ว สิ่งเดียวกัน คือ ต้นปาริฉัตร มีใบเหลือง และ ออกดอก ก็เป็นที่ตั้งของโลภะ ของบาง บุคคล มีเทวดาโดยมากที่เล่นกัน ตลอด 4 เดือน แต่ผู้มีปัญญา เมื่อเห็นความจริง ถึงความไม่เที่ยงของแม้รูปธรรมที่เป็นต้นปาริฉัตร กับ เกิดปัญญา และพิจารณา ความจริง สละทุกสิ่ง อบรมปัญญา บรรลุธรรม และ บางบุคคล อาศัย ต้นปาริฉัตร เป็นเครื่องเตือน เห็นความตายของบุคคลอื่น ก็เข้าไปหาพระพุทธเจ้า ฟังธรรมได้ บรรลุธรรม เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรเลยที่เที่ยง นอกเสียจากพระนิพพาน ต้นไม้ รูปธรรม รูปร่างกาย นามธรรม จิต เจตสิกทั้งหลาย เกิดขึ้น และดับไปเป็นธรรมดา และต้องตายจากโลกนี้ไป เป็นธรรมดา ควรมีเวลา ที่เหลือน้อย อบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม ปัญญา และ กุศลธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งในโลกหน้า ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มี จริงๆ ที่กล่าวว่าเป็นต้นปาริฉัตร (ปาริฉัตตกพฤกษ์) ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไป ของรูปธรรมซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ ต้นปาริฉัตรในภพชื่อดาวดึงส์ โดยด้านยาวและ ด้านกว้าง มีประมาณ (ด้านละ) ๑๐๐ โยชน์,กลิ่นฟุ้งไปได้ ๑๐๐ โยชน์
ในบางพระสูตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เปรียบเที่ยบให้เห็นสิ่งที่เลิศว่า ในบรรดาต้นไม้ในภพดาวดึงส์ ต้นปาริฉัตร เป็นยอดของต้นไม้เหล่านั้น สำหรับในบรรดา ธรรมที่เป็นอินทรีย์ อันเป็นโพธิปักขิยธรรม นั้น ปัญญินทรีย์ เป็นเลิศ เพราะเป็นไปเพื่อ ความตรัสรู้ กว่าจะมีปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระ ธรรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เหตุ เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถ้ายังเป็นผู้ เห็นประโยชน์ของพระธรรม เพราะเคยมีศรัทธาสะสมอุปนิสัยที่ดีมาแล้ว เห็นคุณค่าของ พระธรรม ย่อมมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา ต่อไป เพราะการเกิดในภพต่างๆ นั้น ก็เป็นเรื่องของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ แต่ก็จะมีความ ต่างกันตรงที่ว่า ถ้าไม่สนใจที่จะฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา สังสารวัฏฏ์ ก็จะยิ่งยึดยาวต่อไป ส่วนผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ไม่ว่างเว้นจากการอบรมเจริญ ปัญญา โอกาสที่จะถึงการสิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิดก็ย่อมมีได้ เพราะถึงแม้ว่าจะเกิด บ่อยๆ ก็เพื่ออบรมเจริญปัญญา แล้ว ไม่เกิดอีก ครับ
ขอบพระคุณ อ. ผเดิม เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้อธิบายอย่างละเอียด เป็นประโยชน์มาก ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ไม่เกี่ยวกับต้นปาริฉัตร ทำให้ระลึกชาติได้ แต่เพราะ จุติจากมนุษย์เป็นเทวดา โตทันทีทำให้ระลึกชาติได้ เพราะ ระยะเวลาไม่ห่างกัน ค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาคะ