ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๖
โดย วันชัย๒๕๐๔  15 ส.ค. 2556
หัวข้อหมายเลข 23389

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันจันทร์ ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา

ชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท ได้กราบเรียนเชิญ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ คณะวิทยากร

ไปสนทนาธรรม ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น ๑๐ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ

โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ถนนราชวิถี กรุงเทพมหานคร

เนื่องในโอกาส วันแม่แห่งชาติ ระหว่างเวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.

เป็นกุศลจิตและกุศลศรัทธาของชาวชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท

โดยการนำของท่านพลโท นายแพทย์ กฤษฎา ดวงอุไร

ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์พระมงกุฏเกล้าฯ ประธานชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท

ได้จัดให้มีการสนทนาธรรม ในวันสำคัญๆ ต่างๆ เสมอมา หลายปีแล้ว กราบอนุโมทนาครับ

อันดับต่อไป ข้าพเจ้าขอนำความการสนทนาบางตอนในวันนั้น

มาฝากให้ทุกๆ ท่านได้พิจารณา สำหรับข้าพเจ้าเอง ได้รับประโยชน์มาก

จากการถอดข้อความการสนทนา และ ชอบอ่านข้อความที่ได้นำลงกระทู้ อย่างช้าๆ

ทั้งในขณะที่ทำ และ หลังจากที่โพสต์กระทู้ไปแล้ว ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบมาก

"ทุกคำ" มีค่า และ มีความหมาย แก่การศึกษาและพิจารณาอย่างช้าๆ ทีละคำ

เพื่อความเข้าใจ จริงๆ ตามที่ท่านอาจารย์ได้ปรารภไว้บ่อยๆ จริงๆ ครับ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

ท่านอาจารย์ ขออนุโมทนา ในกุศลจิตของทุกท่าน ที่เห็นประโยชน์

ของการที่จะได้เข้าใจธรรมะ ซึ่งยาก ที่จะเข้าใจได้

แต่ก็สามารถที่จะ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

ทีละเล็ก ทีละน้อย

เพราะเหตุว่า เป็นพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้

ง่ายไม่ได้

แต่ว่า เป็นความจริง

ซึ่งอาศัยความเข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย

ค่อยๆ สะสมไป

ก็จะทำให้ สามารถเข้าใจ วาจาสัจจะ ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์ ที่ได้ทรงแสดง

เป็นมรดก แก่พุทธศาสนิกชน ที่ได้สะสมบุญไว้ แต่ปางก่อน

ที่มีโอกาสจะได้ฟัง

"คำ" ที่ส่องถึง สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้

ถ้าไม่มีพระผู้มีพระภาคฯทรงตรัสรู้ ก็ถูกฉาบทาไว้ด้วยความมืด

เหมือนอยู่ในความมืดมิด

ไม่สามารถที่จะเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้

เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้จักพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และ พระมหากรุณาคุณ

ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อ "เริ่มเข้าใจ" สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้

ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

ก็จะเห็นความลึกซึ้ง และ พระมหากรุณาคุณ

ที่ทรงแสดงพระธรรม ให้เรามีโอกาสได้เข้าใจ

ฟังธรรมะแล้ว เข้าใจจริงๆ "ทีละคำ"

ตามลำดับ คือ ถ้าคำแรก ไม่เข้าใจ แล้วจะไปเข้าใจ คำหลังๆ ได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น แม้แต่ตามลำดับ ที่ทรงแสดงว่า ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ

หมายความว่า ปริยัติ คือ ฟัง พระพุทธพจน์

และ ต้องรู้ด้วยว่า เป็นพระพุทธพจน์ ไม่ใช่เป็นอื่น

เพราะ ถ้ากล่าวเรื่องอื่น ก็จะไม่กล่าวถึง สิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้

เพราะ บุคคลนั้น ไม่รู้

เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม ที่พูดเรื่องอะไรก็ตาม

แต่ไม่พูดให้เข้าใจความจริง ของสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้

ไม่ใช่พุทธพจน์

เพราะว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริง

และ ความจริงเดี๋ยวนี้ ก็คือ สิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้

เพราะฉะนั้น การศึกษาตามลำดับ

คือ

แต่ละคำ เผินไม่ได้เลย

แม้แต่การที่กล่าวว่า เคารพพระศาสดา จึงสามารถที่จะดำรงพระศาสนาไว้ได้

แต่ถ้าขาดความเคารพ ในพระศาสดา พระศาสนาก็ต้องอันตรธาน

คำว่า ความเคารพ ที่นี่ เคารพ ทุกคำ

เช่น สัจจะ ความจริง

ธรรมะ สิ่งที่มีจริงๆ

เพราะเหตุว่า พระผู้มีพระภาค ในพระไตรปิฎก ไม่ว่าใครจะไปเฝ้า ทูลถาม

ก็จะตรัส เรื่องสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนั้น

ไม่ว่าในขณะนี้ หรือ ขณะไหนๆ

เช่น ขณะนี้ก็มี "เห็น"

ถ้าใครไม่พูดเรื่อง "เห็น" ให้เข้าใจ ว่าทำไม? ต้องเข้าใจ "เห็น"

แล้วจะให้เข้าใจอะไร? เพราะ ขณะนี้ กำลังเห็น

คนที่ไม่สนใจ ในพระพุทธพจน์ ก็จะไม่เห็นประโยชน์ว่า

"เห็น" ทุกวัน แล้วจะเข้าใจอะไร? ก็ดูเป็นธรรมดา

แต่ว่า ถ้าเป็นพระพุทธพจน์ จะไม่พ้นจากเรื่องของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน

เพราะฉะนั้น ที่กำลังเห็น ในขณะนี้

"คนอื่น" ไม่ได้กล่าวถึง ให้เข้าใจว่า "เห็น" ขณะนี้ มีจริง เกิดขึ้น จึงเห็น

ถ้าเห็นไม่เกิด เห็นไม่ได้ ไม่มีอะไรปรากฏ

แต่การที่เห็นขณะนี้จะเกิดได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย

นี่เป็นแต่เพียง "หนึ่งขณะ" ในสังสารวัฏฏ์

ในชีวิต ของแต่ละคน

ซึ่งมี "เห็น" จริงๆ

เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้

ถ้าเราศึกษาธรรมะ ทีละคำ ตามลำดับ

เราก็สามารถที่จะเข้าใจได้ ว่า "ทุกคำ" เป็น "คำจริง"

ที่พูดถึง สิ่งที่มีจริง ให้เข้าใจจริงๆ ว่า

"เห็น" ขณะนี้ เกิดขึ้นเห็น แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก

แค่นี้

ทบทวนว่า จริงหรือเปล่า? เป็นสัจจะวาจา หรือเปล่า?

เป็น "คำจริง" ที่แสดงถึงสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้

เพราะว่า "เห็น" ไม่ใช่ "ได้ยิน" แล้วก็ไม่ใช่ "คิดนึก" ด้วย

แล้วก็ไม่มีเห็นอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่เข้าใจว่า "เห็น" เกิดขึ้นเพียง "เห็น" แล้วดับไป

จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล

แต่ว่า เกิดแล้วดับไป

จะเป็นใคร หรือ เป็นของใคร ก็ไม่ได้

เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจ ความหมายของคำว่า "อนัตตา"

จากการตรัสรู้ ของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมะ

ก็รู้ว่า แต่ละสิ่งที่มีในขณะนี้ เกิดขึ้นแล้วดับไป อย่างรวดเร็ว

สุดที่จะประมาณได้

แล้วก็ สืบต่อกันสนิท เร็วมาก จนปรากฏ เหมือนไม่ดับเลย

เพราะฉะนั้น จึงทำให้เข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏรวมกัน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

ซึ่งชาวโลก ใช้คำว่า "อัตตา"

สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ทั้งหมด แม้แต่ทุกคนที่นั่งอยู่ ก็เข้าใจว่า เป็นคนหนึ่งๆ

นั่นก็คือว่า เป็นอัตตา เป็นสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคน เป็นสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโต๊ะ

เป็นสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเก้าอี้ เป็นสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นดอกไม้ เป็นสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสัตว์

ล้วนแต่ไม่รู้ความจริง ของแต่ละหนึ่ง

ซึ่งไม่ได้ปะปนกัน และ ไม่ได้รวมกันเลย

เพราะฉะนั้น การรู้ความจริง ไม่ใช่ว่า รู้โดยความคิดรวมๆ

แต่ต้องเป็นการเข้าใจความจริง สิ่งที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง โดยละเอียดยิ่ง

จึงจะเป็นการเคารพ ในพระพุทธพจน์ ในวาจาสัจจะ

ซึ่ง "แต่ละคำ" เป็นสิ่งซึ่ง

ถ้าศึกษาแล้ว จะปฏิเสธได้ไหม? ว่าไม่จริง

เข่น ในขณะนี้ "เห็น" เกิดขึ้น ใครบังคับไม่ได้ แต่ว่า การที่เห็นเกิดแล้วดับไป ไม่มีใครรู้

ต้องอบรม เจริญปัญญา ที่จะค่อยๆ เข้าใจ ตามความจริง

ว่า ทุกอย่าง เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น

แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้เลย

ไม่มีใคร สามารถที่จะบังคับ ให้มีปัญญา เข้าใจลักษณะ ของสภาพธรรมะ

ตรงตามที่ได้ฟัง ทันที

แต่ว่า รู้ว่า สามารถที่จะ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

แล้วเห็นประโยชน์ว่า การรู้ ต้องเป็นความรู้ สิ่งที่กำลังมี ซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป

จึงสามารถที่จะเข้าใจ ในความหมายของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้

อนิจจัง คือ สภาพที่ไม่เที่ยง หมายความว่า เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

ทุกขัง ลักษณะที่ ไม่เที่ยง

ถ้าใครสามารถที่จะ "ประจักษ์" ว่าเพียงเกิดขึ้นแล้วดับไป "แต่ละหนึ่ง" จริงๆ

จะมีความสุขไหม?

เพราะเหตุว่า ไม่มีอะไรเหลือเลย

ตั้งแต่เกิด มาจนถึงขณะนี้ ขณะที่ผ่านไปแล้วทั้งหมด ไม่ได้กลับมาอีก และ ไม่เหลือเลย

แม้ขณะนี้ ที่หมดไป ก็ไม่ใช่ขณะต่อไป ที่จะเกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น ไม่มีการถอยกลับ

เพราะเหตุว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย

เกิดขึ้นแล้ว ก็ ไป ไป ไป ตั้งแต่เกิด จนถึง ตาย

แล้วก็ยังไป ต่อไปอีก เพราะมีเหตุปัจจัย ที่จะให้เกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น

แต่ละคำ ลึกซึ้ง

แม้แต่ว่า ขณะนี้ จะได้ยินคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ก็เพียงเป็นการเข้าใจ ระดับหนึ่ง

ซึ่งไม่เคยคิด ว่า"เห็น" ขณะนี้ เกิดแล้วดับ

ใครคิดบ้าง?

"ได้ยิน" เกิดแล้วดับ ทุกอย่าง เกิดแล้วดับ

ไม่มีทางที่จะ "เพียงฟัง" แล้วจะถึง "การประจักษ์แจ้ง"

ด้วยเหตุนี้ พระธรรม คำสอน ก็ต้องเป็นไป ตามลำดับ

คือ ปริยัติ ฟังเรื่องราว ของสิ่งที่มีจริงๆ และ มีความเข้าใจ มั่นคง

เคารพ ในพระปัญญาคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าทรงตรัสรู้ความจริง

เพื่อให้ละ ความเห็นผิด การยึดถือสภาพธรรมะ ว่าเที่ยง ไม่เกิดดับ

และ อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา และ เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด

ซึ่งจะเป็นอย่างนั้น ไม่ได้เลย

ไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมะใดๆ ก็ตาม

ที่ปรากฏ เพราะเกิด

เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็มีสภาพธรรมะอื่น เกิดต่อ

เสียงเมื่อกี้นี้ หมดไปแล้ว ได้ยินเมื่อกี้นี้ หมดไปแล้ว คิดนึกเมื่อกี้นี้ ก็หมดไปแล้ว

แต่ว่า ไม่มีใครรู้

เพราะฉะนั้น การรู้ความจริง จะรู้อื่นไม่ได้ นอกจากรู้ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้

แล้วเห็นประโยชนจริงๆ ว่า ถ้าไม่รู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริง ในขณะนี้

แล้วจะรู้อะไร?

ไม่มีอะไร จะให้รู้เลย

และ ความจริงในขณะนี้ ที่แน่นอน ก็คือว่า เกิดขึ้นและดับไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

เพราะฉะนั้น ถ้ามีความศรัทธา เห็นตามความเป็นจริง ก็จะศึกษาธรรมะ ต่อไป

เป็นผู้ที่ตรง ที่จะรู้ว่า สิ่งที่เข้าใจ ไม่ใช่สิ่งอื่น

แต่ต้องเป็นสิ่งที่มี ในขณะนี้ ซึ่งสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจได้

เพราะว่า สิ่งอื่น ยังไม่ได้เกิดขึ้น ยังไม่ได้ปรากฏ

แล้วจะเข้าใจได้อย่างไร?

และ สิ่งที่หมดไปแล้ว ผ่านไปแล้ว ก็ไม่ได้กลับมาอีก

เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่จะเข้าใจ สิ่งที่ล่วงไปแล้ว หรือว่า สิ่งที่ยังไม่มาถึง

ก็รู้ว่า ปัญญา จริงๆ ก็คือ

ไม่ว่า สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ปรากฏ สามารถเข้าใจถูก เห็นถูก ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น

แต่ไม่ใช่โดย "คิดเอง"

และ ไม่ใช่ว่า "เชื่อคนอื่น"

แต่ต้องเป็น "วาจาสัจจะ" ที่กล่าวถึง "ความจริง"

...ต้องไม่ลืมว่า ธรรมะ เป็น ธรรมะ เปลี่ยนไม่ได้

และ ต้องตรงด้วย

ถ้าธรรมะที่เป็นกุศล แล้วจะบอกว่า ธรรมะเป็นอกุศล

ก็คือ ความเข้าใจผิด ของคนนั้น

แต่จะเปลี่ยนกุศล ให้เป็นอกุศล ไม่ได้เลย

ด้วยเหตุนี้ ปัญญา คือ การเข้าใจถูก การเห็นชอบ เห็นตรง

ตามความเป็นจริง ของสภาพธรรมะนั้น

เพราะฉะนั้น ใช้คำว่า กตัญญู หมายความว่า รู้คุณ คือ ต้องรู้ความดี

ว่า ความดี เป็น ความดี

ไม่ใช่ไปเห็นความดี เป็นความชั่ว หรือ เข้าใจว่า ความชั่ว เป็นความดี

เพราะฉะนั้น กตัญญู ก็คือ ตรง เป็นผู้ที่รู้คุณ

ถ้าจะคิดถึงวันแม่ วันนั้น แม่เจ็บมาก กว่าที่เราจะมีชีวิตได้

แล้วสามารถ ทนความเจ็บปวดนั้น

แล้วก็แม้แต่ "น้ำนมหยดแรก" ก็ตาม ในการที่จะมีชีวิตต่อไป

มาจากใคร?

เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า คุณความดี ก็เป็นคุณความดี

แต่ถ้าพ่อแม่ไม่ดี

ความตรง ก็คือว่า ความดีส่วนหนึ่ง คือ การที่เป็นพ่อ เป็นแม่

ส่วนความไม่ดี เป็นของแต่ละบุคคล

ใครจะไปเปลี่ยนแปลงบุคคลนั้น ให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้

แต่เราจะระลึกถึง ความดี ที่คนอื่น ทำให้ต่อเรา

นั่นชื่อว่า เป็นผู้ที่ รู้คุณ

คือ ใครที่มีความดี และ ทำความดีนั้นกับเรา

เราก็ รู้คุณ คือ ความดี ที่เขา ได้กระทำต่อ

เพราะฉะนั้น การกระทำตอบแทนคุณ ไม่ใช้ให้ประพฤติชั่ว

การตอบแทนคุณ โดยประพฤติชั่ว ไม่ใช่การตอบแทนคุณ

ต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วย

ความดี คือ คุณ

จะตอบแทนคุณ ก็คือ ทำความดีตอบ

ไม่ใช่ไปทำความชั่วตอบ

เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว อย่างที่เวลาเราบอกว่า รู้คุณ แล้วก็ แทนคุณ

รู้คุณ คือ รู้ความดี

ถ้าเราเข้าใจผิดว่า ไม่ดี

ไม่ตรง ใช่ไหม?

มีใครบ้าง? ที่รู้จัก คุณความดี แล้วจะไม่ทำดี?

คนที่ทำความไม่ดี คือ คนที่ไม่รู้จักคุณความดี

ไม่เห็นว่า ความดี มีคุณ

ไม่เห็นว่า ความดี มีประโยชน์ จึง กระทำชั่ว

แต่ถ้าเป็นผู้ที่รู้คุณจริงๆ ว่า คุณ คือ ความดี นำสิ่งที่ดีมาให้

ไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนความดี ให้เป็นความชั่วได้

ถ้ารู้คุณจริงๆ

ตอบแทนคุณ คือ ทำความดี

แต่ถ้า ทำความชั่ว

ไม่ใช่ตอบแทนคุณ

[เล่มที่ 33] พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 356

สมจิตตวรรคที่ ๔

สูตรที่ ๑

ว่าด้วยภูมิของอสัตบุรุษและสัตบุรุษ

[๒๗๗] ๓๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงภูมิอสัตบุรุษ และ สัตบุรุษ

แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว

ภิกษุทั้งหลายนั้น ทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว

พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภูมิอสัตบุรุษเป็นไฉน

อสัตบุรุษ ย่อมเป็น คนอกตัญญู อกตเวที ก็ความเป็นคน อกตัญญูอกตเวที นี้

อสัตบุรุษทั้งหลาย สรรเสริญ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเป็นคนอกตัญญูอกตเวทีนี้

เป็นภูมิอสัตบุรุษทั้งสิ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสัตบุรุษ ย่อมเป็นคนกตัญญูกตเวที

ก็ความเป็นคนกตัญญูกตเวทีนี้ สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเป็นคนกตัญญูกตเวทีทั้งหมดนี้ เป็นภูมิสัตบุรุษ.

จบสูตรที่ ๑

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการ ของสมาชิกชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท ทุกท่าน

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ



ความคิดเห็น 1    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 16 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 16 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การรู้ความจริง จะรู้อื่นไม่ได้ นอกจากรู้ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการ ของสมาชิกชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท ทุกท่าน

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 3    โดย j.jim  วันที่ 16 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย raynu.p  วันที่ 17 ส.ค. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย kinder  วันที่ 17 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย ch.  วันที่ 17 ส.ค. 2556

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย Parinya  วันที่ 18 ส.ค. 2556

เรียนคุณวันชัย

ผมได้นำข้อความส่วนหนึ่งจากข้างบนนี้ ไปลงในคำถาม "พ่อแม่รังแกฉัน" ถ้าผมกระทำ

ผิด โดยไม่ได้ขออนุญาต โปรดให้อภัยด้วย ส่วนข้อความดังกล่าว ถ้าเป็นประโยชน์ต่อ

ผู้ที่มีความเข้าใจในคำสอนของท่านอาจารย์ ก็เป็นกุศลของคุณ และ ทุกท่าน ที่ร่วมกัน

จัดงานเผยแพร่พระธรรม จนเกิดความสำเร็จครับ

ขออนุโมทนา

ปริญญา


ความคิดเห็น 8    โดย วันชัย๒๕๐๔  วันที่ 18 ส.ค. 2556

เรียนพี่ปริญญาครับ

พระธรรมยิ่งเผยแพร่ ยิ่งรุ่งเรือง ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่ด้วยครับ


ความคิดเห็น 9    โดย napachant  วันที่ 19 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย wirat.k  วันที่ 19 ส.ค. 2556

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ