ประชาชนจะนิยมไปสักการะพระอรหันตธาตุ ของพระที่ละสังขารไปแล้ว โดยเชื่อมั่นว่าพระที่ละสังขารแล้ว อัฐิแปรเป็นพระธาตุ นั่นคือพระอรหันต์ ขอเรียนถามท่านอาจารย์ช่วยอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระอรหันตธาตุครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธาตุ ก็คือ ส่วนที่เป็นกระดูกที่เกิดจากการเผาศพแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นพระอริยเจ้าเท่านั้น จึงจะมีพระธาตุ มีกระดูกที่เกิดจากการเผาศพ แม้ปุถุชนก็มีกระดูกที่เป็นธาตุ คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมรวมกันที่เป็นรูปธาตุด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่ากระดูกของใครที่ควรจะเคารพ สักการะ ควรแก่การบูชา ก็ต้องสรีระกระดูกของผู้ที่มีคุณธรรม มีพระอริยเจ้าขั้นต่างๆ ทั้งพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ พระอัครสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า อันเป็นผู้ควรแก่การบูชาด้วยการระลึกถึงพระคุณ แต่ไม่ใช่เพื่อการได้ลาภ สักการะ เป็นสำคัญ เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้มีความเป็นพิเศษว่า กระดูกของผู้มีคุณธรรมจะต้องมีสีสันต่างๆ แปลกๆ ที่สมมติว่าอย่างนี้คือพระธาตุ เพราะ พระธาตุ ในความหมายที่อธิบายแล้ว ก็คือการประชุมของสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม เป็นรูปธาตุเท่านั้น
ที่สำคัญ ไม่ได้หมายความว่า คุณธรรมจะวัดกันที่รูปร่างลักษณะของกระดูกที่สมมติว่าเป็นพระธาตุ เพราะ คุณธรรม เป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา แต่ต้องเห็นได้ด้วยปัญญา ส่วนกระดูกที่สมมติว่าเป็นพระธาตุก็เป็นเพียงสี สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นครับ เพราะคุณธรรมคือ ปัญญา เป็นคุณธรรมภายใน ที่รู้ได้ด้วยปัญญา ด้วยการสนทนา เป็นต้นครับ
ปัญญา คุณธรรมต่างหาก เป็นตัวตัดสิน ว่าผู้ใดมีคุณธรรม หรือ ไม่มีคุณธรรม ไม่ใช่เพียงลักษณะภายนอกของสิ่งหลงเหลืออยู่จากร่างกายที่ปราศจากจิต วิญญาณ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 453
ข้อความบางตอนจาก ชฎิลสูตร
[๓๕๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม ครอบครองเรือน บรรทมเบียดพระโอรสและพระชายา ทาจุรณจันทน์อันมาแต่แคว้นกาสี ทรงมาลาของหอมและเครื่องลูบไล้ ยินดีเงินและทอง ยากที่จะรู้เรื่องนี้ว่า คนพวกนี้เป็นพระอรหันต์ หรือคนพวกนี้บรรลุอรหัตตมรรค………
ดูก่อนมหาบพิตร ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ก็ปัญญานั้นจะพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้.
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เพราะฉะนั้น การเห็นเป็นพระธาตุ ตา เพียงเห็น สีเท่านั้น ซึ่งเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ได้เป็นเครื่องวัดว่า จะเป็นพระอรหันต์ มีคุณธรรมอย่างไร เพียงแค่สีที่ปรากฏ แต่การเห็นด้วยตา คือ ปัญญา ย่อมสามารถแยะแยะความจริงได้ว่า ผู้นั้นมีคุณธรรมอย่างไร เพราะ คุณธรรม เป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถเห็นด้วย ตาเนื้อ แต่เห็นด้วยปัญญา ครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ประโยชน์ของการเห็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใดมีสรีระที่ปราศจากวิญญาณ ที่เรียกว่ากระดูก เป็นต้น เพื่อการระลึกถึงความจริงของชีวิตว่า แม้เราก็ไม่พ้นจากความตาย ควรที่จะไม่ประมาทกับชีวิต จึงเจริญกุศล อบรมปัญญา เท่าที่ชีวิตที่เหลืออยู่ในขณะที่เกิดเป็นมนุษย์ เพราะไม่ว่าใครก็ไม่พ้นจากความตาย การเห็นด้วยการพิจารณาอย่างนี้ย่อมจะเป็นประโยชน์กับชีวิตที่สุด ครับ ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้ามีความเข้าใจพระธรรมอย่างถูกต้องแล้ว จะไม่หวั่นไหวไปกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่แตกตื่นกันไปเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่จะมั่นคงในความเป็นจริงในเหตุในผลว่า การเป็นพระอริยบุคคล ไม่ใช่อยู่ที่กระดูก แต่อยู่ที่การอบรมเจริญปัญญา ดำเนินตามหนทางที่ถูกต้อง ถ้าไม่ได้ดำเนินตามหนทางนี้แล้ว ไม่สามารถจะเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ได้เลย แม้พระโสดาบันก็เป็นไม่ได้ ถ้าไม่มีปัญญา คงไม่ต้องกล่าวถึง พระอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์
เมื่อได้ทราบเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง ก็ยิ่งเป็นเครื่องเตือนใจ ให้เป็นผู้ไม่ประมาทในการศึกษาพระธรรมให้ยิ่งขึ้นต่อไป เพราะความเข้าใจถูกเห็นถูก จะเป็นที่พึ่ง ไม่ให้ตกไปในฝ่ายผิด และยังจะสามารถเกื้อกูลผู้อื่นให้ได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตามไปด้วย เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
อีกประการหนึ่งที่ควรจะได้พิจารณา คือ ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ เมื่อละจากโลกนี้ไป ร่างกายมีวิญญาณไปปราศแล้วหาประโยชน์มิได้ ในที่สุด ก็จะต้องเน่าเปื่อยผุพังไม่ช้าก็เร็ว เป็นเพียงรูปธรรมที่เกิดเพราะอุตุเท่านั้น
ในขณะนี้กำลังมีชีวิตอยู่ ก็ควรที่จะรู้ความจริงว่าวันหนึ่งเราก็จะต้องตาย ตายเหมือนกับคนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง แต่ในขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่ ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่าการที่จะจากโลกนี้ไปนั้น จะจากไปด้วยปัญญาที่อบรม จนกระทั่งเจริญขึ้น หรือว่า จะจากไป โดยที่ว่าไม่สนใจฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา เลย?
บุคคลผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรม ก็ย่อมจะได้รับประโยชน์จากพระธรรมตามระดับขั้นของความเข้าใจของตนเอง ดังนั้น พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริง และจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ใฝ่ใจศึกษาเห็นประโยชน์ พร้อมทั้งมีความจริงใจที่จะน้อมประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อละคลายขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวันเท่านั้น ดังนั้น แทนที่จะไปคิดถึงเรื่องอื่น ก็ควรจะได้เห็นประโยชน์ของการเข้าใจพระธรรม ซึ่งจะเข้าใจได้ ก็ด้วยการฟัง การศึกษา ด้วยความละเอียดรอบคอบจริงๆ
ข้อความตอนหนึ่งจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
เตือนใจดีมาก คือ
"ถ้าเป็นผู้ที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรม ยังไม่ได้พิจารณาพระธรรม ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญา ก็ลองคิดดูว่า ชาตินี้ทั้งชาติ จะจบลงอย่างไร ก็ต้องไปกับด้วยกิเลสที่หนาขึ้นๆ ทุกวัน แต่ถ้ามีโอกาสได้ฟัง ละคลายความไม่รู้ อบรมเจริญกุศลทุกประการเพิ่มขึ้น ก็เป็นชาติที่มีประโยชน์ เมื่อกระดูกทุกชิ้นยังรวมกันอยู่ ยังไม่กระจัดกระจาย ก็ควรที่จะให้เป็นประโยชน์ ในการที่จะได้เกิดปัญญาเพิ่มขึ้น"
อ้างอิงจาก ... ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๙๕
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอขอบพระคุณในคำอธิบายครับ ผมก็มีความคิดเช่นเดียวกันแต่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่างไร ฉะนั้นผมก็พอจะเข้าใจและอธิบายให้ผู้ที่สงสัยได้เข้าใจยิ่งขึ้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาอาจารย์ทั้งสองท่านเป็นอย่างยิ่ง
เป็นคำตอบที่ไพเราะ และเป็นประโยชน์มากจริงๆ ครับ.
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ