[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 432
๕. เรื่องพระอานนทเถระ [๒๖๘]
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 43]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 432
๕. เรื่องพระอานนทเถระ [๒๖๘]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในปราสาทของอุบาสิกาชื่อมิคารมารดา ทรงปรารภพระอานนทเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ทิวา ตปติ อาทิจฺโจ" เป็นต้น.
รัศมีของวัตถุ ๕ อย่างต่างกัน
ได้ยินว่า ในวันมหาปวารณา พระเจ้าปเสนทิโกสลทรงประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ครบถ้วน ทรงถือเอาวัตถุทั้งหลายมีของหอมเป็นต้น ได้เสด็จไปยังวิหารแล้ว.
ในขณะนั้น พระกาฬุทายีเถระนั่งเข้าฌานอยู่ที่ท้ายบริษัท. ก็คำว่า "กาฬุทายีเถระ" นั่น เป็นชื่อของท่านเอง. สรีระ (ของท่าน) มีสีเพียงดังทองคำ. ก็ในขณะนั้นพระจันทร์กำลังขึ้น, พระอาทิตย์กำลังอัสดงคต.
พระอานนท์เถระ แลดูรัศมีของพระอาทิตย์ซึ่งกำลังอัสดงคตและของพระจันทร์ซึ่งกำลังขึ้น แล้วมองดูพระสรีโรภาสของพระราชา สรีโรภาสของพระเถระ และพระสรีโรภาสของพระตถาคต. ในท่านเหล่านั้น พระศาสดาย่อมไพโรจน์ล่วงรัศมีทั้งปวง. พระเถระถวายบังคมพระศาสดาแล้ว กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า" ในวันนี้ เมื่อข้าพระองค์แลดูรัศมีเหล่านี้อยู่, พระรัศมีของพระองค์เท่านั้นข้าพระองค์ชอบใจ, เพราะว่า พระสรีระของพระองค์ ย่อมไพโรจน์ล่วงรัศมีทั้งปวง."
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะท่านว่า "อานนท์ ธรรมดาพระอาทิตย์ ย่อมรุ่งเรืองในกลางวัน, พระจันทร์ ย่อมรุ่งเรืองในกลางคืน, พระราชา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 433
ย่อมรุ่งเรืองในเวลาประดับแล้วเท่านั้น, พระขีณาสพ ละความระคนด้วยหมู่แล้ว ย่อมรุ่งเรืองในภายในสมาบัติเท่านั้น, ส่วนพระพุทธเจ้า ย่อมรุ่งเรืองด้วยเดช ๕ อย่าง ทั้งในกลางคืน ทั้งในกลางวัน" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
๕. ทิวา ตปติ อาทิจฺโจ รตฺติมาภาติ จนฺทิมา สนฺนทฺโธ ขตฺติโย ตปิต ฌายี ตปติ พฺรหฺมโณ อถ สพฺพมโหรตฺตึ พุทฺโธ ตปติ เตชสา.
"พระอาทิตย์ ย่อมส่องแสงในกลางวัน, พระจันทร์ ย่อมรุ่งเรืองในกลางคืน, กษัตริย์ ทรงเครื่องรบแล้ว ย่อมรุ่งเรือง, พราหมณ์ผู้มีความเพ่ง ย่อมรุ่งเรือง. ส่วนพระพุทธเจ้า ย่อมรุ่งเรืองด้วยเดช ตลอดกลางวันและกลางคืน."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า ทิวา ตปติ ความว่า พระอาทิตย์ ย่อมรุ่งเรืองเฉพาะในกลางวัน, แต่แม้ทางที่พระอาทิตย์นั้นไปในกลางคืน หาปรากฏไม่.
บทว่า จนฺทิมา ความว่า แม้พระจันทร์ ที่พ้นแล้วจากหมอก เป็นต้น ก็รุ่งเรืองเฉพาะในกลางคืน, หารุ่งเรืองในกลางวันไม่.
บทว่า สนฺนทฺโธ ความว่า พระราชาผู้ทรงประดับด้วยเครื่องอิสริยาภรณ์ทั้งปวงอันวิจิตรด้วยทองและแก้วมณี อันเสนามีองค์ ๔ (๑) แวดล้อมแล้วเท่านั้น ย่อมรุ่งเรือง, ท้าวเธอประทับอยู่ด้วยเพศอันบุคคล ไม่รู้ (ปลอมเพศ) หารุ่งเรืองไม่.
(๑) พลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 434
บทว่า ฌายี ความว่า ฝ่ายพระขีณาสพ เปลื้องหมู่แล้ว เพ่งอยู่เทียว ชื่อว่าย่อมรุ่งเรือง.
บทว่า เตชสา ความว่า ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงครอบงำเดชแห่งการทุศีลด้วยเดชแห่งศีล เดชแห่งคุณอันชั่วด้วยเดชแห่งคุณ เดชแห่งปัญญาทรามด้วยเดชแห่งปัญญา เดชแห่งสิ่งมิใช่บุญด้วยเดชแห่งบุญ เดชแห่งอธรรมด้วยเดชแห่งธรรม ย่อมรุ่งเรืองด้วยเดช ๕ อย่างนี้ ตลอดกาลเป็นนิตย์ทีเดียว.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระอานนทเถระ จบ.