ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันพุธ ที่ ๒๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา เพื่อไปสนทนาธรรม ณ บ้านพักในซอยประดิพัทธ์ ๑๕ สะพานควาย กรุงเทพมหานคร
คุณจักรกฤษณ์ และ คุณชฎาพร (คุณแอ๋ว) เป็นคู่สามีภรรยา ที่ได้ศึกษาธรรมกับท่านอาจารย์มานานหลายปีแล้ว ท่านได้กรุณาเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้าที่จะได้พบกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ท่านเป็นผู้หนึ่งที่เคยปฏิบัติด้วยการนั่งสมาธิ ตามแนวทางของวัดชื่อดังแห่งหนึ่งทางฝั่งธนบุรีมาตั้งแต่ยังเด็กด้วย ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของท่าน เป็นผู้ที่ฝักใฝ่ สนใจในพระพุทธศาสนามาก เมื่อท่านได้มาศึกษาพระธรรมกับท่านอาจารย์จนพอเข้าใจขึ้น ท่านจึงอยากเกื้อกูล คุณพ่อและคุณแม่ของท่าน ให้ได้สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ จึงกราบขอความเมตตา เรียนเชิญท่านอาจารย์มาสนทนาธรรมที่บ้าน ในวันนี้
เมื่อได้เล่ามาถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าก็นึกขึ้นได้ว่า ลืมไปที่จะได้เรียนถามท่านเรื่องหนึ่ง เพื่อนำมาเล่าสู่กันฟัง คือ เรื่องที่ท่านได้พบกับพระธรรม โดยเหตุประการใด เพราะข้าพเจ้าได้ฟังว่า แต่ละท่าน มีหนทางที่แตกต่างกันและเหมือนๆ กัน หลากหลาย เมื่อได้ทราบหนทางที่ท่านต่างๆ ได้เล่าให้ฟัง ก็รู้สึกว่าจะเกิดปีติ ชื่นชม อนุโมทนากัน
สำหรับคุณจักรกฤษณ์ ความจริงต้องเรียกท่านว่า ท่านจักรกฤษณ์ โดยธรรมเนียมนิยม ด้วยว่าท่านเป็นผู้พิพากษา ในศาลอุทรณ์ รัชดาฯ แต่ขออนุญาตเรียกคุณจักรกฤษณ์ เพราะรู้สึกว่าจะไม่ทำให้ห่างเหินกันจนเกินไป อย่างที่พี่แดง (kanchana.c) เคยบอกว่า น้องวันชัย เวลาเขียนกระทู้ ใช้คำว่าข้าพเจ้า ดูจะห่างเหินไปหน่อย น่าจะใช้คำว่าผม (หรือกระผม?) แต่ก็ด้วยรู้สึกว่า ใช้คำว่าข้าพเจ้าแล้วรู้สึกดียังไงชอบกล จึงขอใช้ไปก่อนนะครับพี่แดงครับ เมื่อเวลาเปลี่ยนไป อาจจะเปลี่ยนใจตามที่พี่แดงเมตตาบอก ทุกอย่างเป็นอนัตตา ความยึดมั่นสำคัญหมาย ก็เป็นธรรม เป็นอนัตตา วันนี้ยึดอย่างนี้ พรุ่งนี้ ก็อาจเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น ตามเหตุ ตามปัจจัย
แต่ว่า พระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดงเป็นสัจจะ ความจริง ที่เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยกาลเวลา หรือเหตุปัจจัยใดๆ ทั้งสิ้น
ข้าพเจ้าจำได้ถึงวันแรกที่ได้พบคุณจักรกฤษณ์ คุณแอ๋ว และครอบครัว ครั้งที่ท่านอาจารย์ได้รับเชิญจาก คุณหมอวิภากร พงศ์วรานนท์ ไปพักผ่อนและสนทนาธรรมที่วังน้ำเขียว เมื่อเดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ ระหว่างทางไปที่พัก ที่โกลด์เมาท์เท่น วังน้ำเขียวรีสอร์ท คณะของท่านอาจารย์ได้แวะพักที่ร้านกาแฟดอยช้าง และ เมื่อจะออกจากร้าน มีผู้มากราบเรียนท่านอาจารย์ว่าคุณจักรกฤษณ์และครอบครัว ก็มาแวะที่นี่ และ จะมาร่วมฟังการสนทนาธรรมด้วย
ข้าพเจ้ายังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกอันอบอุ่นในลักษณะนี้ ที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเมื่อครั้งที่เดินทางไปอินเดียครั้งแรก ในตอนเช้าที่พุทธคยา ที่ลอบบี้ของโรงแรมที่พัก มีท่านผู้หญิงท่านหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจว่า คุณวันชัยก็มาด้วยนี่ อยู่ไหน? เมื่อข้าพเจ้าแนะนำตัว ก็ได้ทราบว่า ท่านผู้ใหญ่ใจดีที่ถามถึงข้าพเจ้าด้วยความ ข้าพเจ้าขออนุญาตใช้คำว่า ลิงโลด เปรียบเหมือนบุคคล ที่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานแสนนาน เมื่อได้ทราบว่าจะได้พบกัน ก็รู้สึกลิงโลดใจ ดีใจ คือพี่แดง พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง หรือที่ท่านใช้ชื่อในเวปไชต์ว่า kanchana.c ท่านผู้เขียนเล่าเรื่องอินเดียและเรื่องเกร็ดธรรมะต่างๆ ที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ และติดตามอ่านมาหลายปีแล้วนั่นเอง
ข้าพเจ้าชอบสำนวนที่พี่แดงเขียน ท่านใช้คำธรรมดาๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ที่ตรง และจริงใจ เป็นอย่างยิ่ง ความรู้สึกอบอุ่นใจในการต้อนรับของพี่ๆ เพื่อนๆ สหายธรรม ไมตรีที่ข้าพเจ้าเคยได้รับนั้น ครั้งนี้ก็เช่นกัน ข้าพเจ้าได้ยินน้ำเสียง ของพี่ๆ สหายธรรม แสดงความตื่นเต้นดีใจที่ทราบว่าคุณจักรกฤษณ์ ขับรถมาเองพร้อมครอบครัว เพื่อมาร่วมฟังการสนทนาธรรม
...ท่านสามารถคลิกชมตอนดังกล่าว ที่นี่... ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โกลด์เมาท์เท่น วังน้ำเขียว รีสอร์ท
สำหรับข้าพเจ้า รู้จักคุณจักรกฤษณ์ เพียงเป็นผู้ที่ได้ติดตามอ่านกระทู้ที่ข้าพเจ้าทำ และได้เข้ามาเขียนอนุโมทนา ให้กำลังใจข้าพเจ้าอยู่อย่างสม่ำเสมอ ตลอดมา แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของการเป็นผู้ศึกษาธรรมของท่าน ในความมีไมตรีของท่าน แสดงให้เห็นว่า ท่านเข้ามาศึกษาพระธรรม และได้รับประโยชน์จากเวปไซต์นี้บ่อยๆ ถ้อยคำที่ท่านเขียน แสดงให้เห็นถึงความอ่อนน้อม เมื่อได้พบตัวจริง ท่านก็เป็นอย่างนั้น
ข้าพเจ้าไม่มีคำอธิบายอื่น เพียงขอยกคำของท่านอาจารย์ ที่แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกแท้จริง ของพี่ๆ เพื่อนๆ สหายธรรมทุกๆ ท่าน ที่มีต่อท่านผู้ใหม่ที่พบหนทางไม่มีอื่นใดแอบแฝงในใจ นอกจากความปีติยินดี และ ความจริงใจไมตรีที่มีซึ่งท่านอาจารย์ได้เคยกล่าวไว้ อย่างน่าประทับใจ ซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ว่า... "...การที่เกิดมาพบกันในแต่ละชาติ โดยสถานต่างๆ ในสังสารวัฏฏ์การพบกัน ในชาติซึ่งได้เกื้อกูลเป็นมิตรกัน ในพระธรรมหรือว่า มีส่วนร่วมกันเผยแพร่พระธรรมชาตินั้น ต้องเป็นชาติที่ประเสริฐที่สุด ในสังสารวัฏฏ์..."
สำหรับการสนทนาธรรมในวันนี้ ท่านเจ้าของบ้าน ได้กราบเรียนท่านอาจารย์อยู่สนทนาธรรมตลอดวันทั้งเช้าและบ่าย คือ ตั้งแต่เวลาราว ๑๐ โมงเช้า ถึง บ่ายสามโมง และได้จัดอาหารกลางวันไว้ต้อนรับ อย่างมากมายหลายชนิด ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารจากร้านชื่อดังในกรุงเทพฯ ทั้งสิ้น อาหารอร่อยๆ ของหลายๆ ร้าน รวมอยู่ในมื้อกลางวันของที่นั่น ในวันนั้น เปรียบเหมือนผู้มีฤทธิ์ เสกได้ในพริบตาทีเดียว
" สัตว์โลก เป็นที่ดูผลของบุญและบาป "
ผลของกุศลกรรม ที่บุคคลได้เคยกระทำไว้ในสังสารวัฏฏ์ ย่อมแสดงให้เห็นได้ในโลก ขณะที่ได้เห็นดี ได้ยินดี ได้กลิ่นดี ได้ลิ้มรสดี ได้กระทบสัมผัสดี ขณะนั้น เป็นกุศลวิบาก เป็นผลของบุญ ที่บุคคล ได้เคยกระทำบุญไว้ แต่ปางก่อน ฉันใด ขณะที่ ได้เห็นไม่ดี ได้ยินไม่ดี ได้ลิ้มรสที่ไม่ดี ได้กระทบสัมผัสที่ไม่ดี ขณะนั้น ก็ย่อมทราบได้ ว่าเป็นผลของอกุศลกรรม ที่บุคคลนั้นได้เคยกระทำไว้ นั่นเอง
เมื่อบุคคลเริ่มเข้าใจในความจริงนี้ ย่อมเป็นผู้ที่มั่นคงขึ้น ในกรรมและผลของกรรม ความมั่นคงขึ้น ในความเข้าใจดังกล่าว ย่อมเป็นปัจจัยให้บุคคล เป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหว ไม่เดือดร้อนใจ ตามกำลังของความเข้าใจ เมื่อได้รับผลของอกุศลกรรมที่ตนเคยทำไว้ และ เป็นผู้ที่ไม่หลงไหล เพลิดเพลินไป ด้วยความติดข้องต้องการ เมื่อได้รับผลของกุศลกรรม ที่ได้เคยกระทำไว้ ทั้งนี้ ด้วยความเข้าใจขึ้นว่า เป็นแต่ธรรม ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย อันบุคคลได้เคยกระทำเหตุไว้ดีแล้วนั่นเอง มั่นคงขึ้นและรู้ว่า เมื่อจะได้พบเห็นสิ่งใด ดีเลิศเท่าใด เดี๋ยวก็จะได้เห็นเอง พบเอง และจะรู้ได้เอง ว่าไม่เป็นไปตามที่อยาก ที่ติดข้อง แต่เป็นไปตามกรรม คือ กุศลกรรม และ อกุศลกรรม อันได้เคยกระทำไว้ในอดีตอนันตชาติ นั่นเอง
เมื่อเป็นผู้ที่มีความเข้าใจมากขึ้น มั่นคงขึ้น ย่อมน้อมไปในความดีทุกประการ ทุกเมื่อ สมดังคำที่ท่านอาจารย์ได้มอบไว้แก่ทุกๆ คน ซึ่งเป็นคำที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ว่า "ทำดี และ ศึกษาพระธรรม" ฟังดูเหมือนง่าย แต่หากปราศจากความเข้าใจธรรมะ ก็ยังเป็นเรา ที่ทำ ที่ศึกษา ที่เข้าใจ ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว "ไม่มีเรา" มีแต่ธรรม ที่เกิดขึ้น เป็นไป ในทุกๆ ขณะ แม้ขณะนี้!! เดี๋ยวนี้!!!
นอกจากอาหารเลิศรส มากมายหลายอย่างแล้ว คุณแอ๋วยังจัดเตรียมไอศครีมทุเรียน ทานกับข้าวเหนียวมูลและมะม่วงน้ำดอกไม้ อร่อยมากครับ อร่อยจริงๆ ไม่หวานเกินไป ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเค้กอร่อยๆ อีกถึงสามชนิด ที่อร่อยที่สุดเห็นจะเป็นเค้กมะพร้าวที่เชฟตินน์ (Tinn) ลูกชายคนโปรดของคุณแม่ที่เพิ่งจบจากสถาบัน เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต ทำให้ชิมเป็นแซมเปิ้ล อร่อยมากครับ เป็นเค้กมะพร้าวไม่เหมือนที่เคยรับประทาน ใช้มะพร้าวขูดฝอยแต่งหน้า ให้รสและกลิ่นมะพร้าวจริงๆ ที่นุ่มนวลได้รสสัมผัสดีมากครับ
ทานอาหารและของหวานเสร็จ น้องดรีม ลูกสาวคนเก่งของคุณพ่อคุณแม่ เจ้าของร้านกาแฟ ดอยช้างที่ Q House สาทร ที่คุณแม่บอกว่าไม่ได้ค่อยดูแลร้าน แถมยังจะหนีไปเรียนต่อต่างประเทศ ปล่อยให้คุณแม่แสดงฝีมือทำเค้กส่งร้านคนเดียว วันนี้น้องดรีมใจดีมาก คอยชงกาแฟอร่อยๆ ให้คุณอา คุณป้า คุณน้า คุณลุง ได้ลิ้มรส ที่ดีใจที่สุด ที่เก็บไว้ ยังไม่ได้บอกใคร คือ น้องดรีมเรียกข้าพเจ้าว่า พี่ ครับ ดีใจมาก แสดงว่า วิตามิน ที่พี่หมอทวีปแนะนำให้รับประทานทุกวัน ได้ผลดีจริงๆ ยิ่งถ้าได้รับประทานไปควบคู่กับ ธรรมโอสถ ก็ยิ่งได้ผลดีเกินคาด อย่างที่พี่หมอพูดยืนยัน ซ้ำแล้วซ้ำอีก ในช่วงท้ายของการสนทนาธรรมตอนบ่าย
หลังจากที่ได้เล่าเรื่องต่างๆ ที่ให้ความรู้สึกที่ดี ได้รับรสอาหารที่ดี ที่เลิศ ซึ่งข้าพเจ้าเคยคิดบ่อยๆ ว่า ขนาดผลของกุศลกรรม ที่แสดงให้เห็นในโลกมนุษย์ ยังวิจิตรบรรจง ถึงเพียงนี้ จะป่วยกล่าวไปไย ถึงความวิจิตร ตระการตา เลิศหรูอลังการ สักเพียงใดในสวรรค์ เข้าใจว่าเทียบกันไม่ได้เลย ในผลของกุศลกรรมอันวิจิตร ที่บุคคลพึงได้รับ แต่ไม่ลืมว่า ทั้งหลายทั้งปวง ก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ แล้วๆ เล่าๆ ไม่มีสิ่งใด ที่เที่ยง ที่ยั่งยืนเลย ทุกขณะเกิดแล้วดับ หมดไป ไม่กลับมาอีกเลย ประโยชน์อะไร? ที่ยังคงความเหนียวแน่น ในความเป็นเรา ของเรา เมื่อเริ่มเข้าใจความจริง ย่อมรู้ว่า ความจริงที่ยังไม่ได้ประจักษ์นั้น อีกแสนไกล ไม่ต้องคิด ไม่ต้องหวังเลย ขอเพียงได้มีโอกาสฟังและเข้าใจธรรมขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย บ่อยๆ เนืองๆ ในทุกๆ ชาติ เพียงเท่านั้น ไม่ว่าจะในโลกมนุษย์ หรือแม้ในสวรรค์เพียงเท่านั้น เท่านั้น จริงๆ ครับ
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนา ในวันนั้นมาฝากทุกๆ ท่านเพื่อได้พิจารณาเช่นเคย เป็นโอกาสอันเลิศที่สุด ครั้งหนึ่งในชีวิต ท่ามกลางกัลยาณมิตรที่ได้มีโอกาสเจริญกุศล ฟังพระธรรม อรมรมปัญญา ร่วมกัน รสใดๆ ก็ไม่ประเสริฐ เท่ารสของพระธรรม เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ครับ
[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ -
หน้าที่ 325
สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ สพฺพํ รสํ ธมฺมรโส ชินาติ สพฺพํ รตึ ธมฺมรตี ชินาติ ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชนาติ
" ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง ความยินดีในธรรม ย่อมชนะความยินดีทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง"
คุณจักรกฤษณ์ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เมตตามาให้ความรู้ทางธรรมะกับทางกระผมและคณะฯ นะครับ ก็เนื่องจากว่าทางผมแล้วก็สหายธรรมหลายท่าน โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่สนใจที่จะศึกษาธรรมะ แต่ว่า ก็ยังรู้กว้างๆ อยู่ ถ้าเกิดได้สนทนาธรรม และได้รับคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ ก็จะเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น ก็เลยกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์แล้วก็กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่เมตตามาในวันนี้
ท่านอาจารย์ ค่ะ ดิฉันก็ยินดีมาก ที่มีโอกาสได้สนทนาธรรม ก่อนอื่น ดิฉันคิดว่า "ธรรมะ เป็นเรื่อง ตรง" แล้วก็ "เป็นเรื่องจริง" สำหรับคนที่ สนใจที่จะเข้าใจจริงๆ สนใจความจริง และ เป็นคนที่ "ตรง" มีประโยชน์มาก เพราะเหตุว่า ไม่อย่างนั้นแล้ว เราไม่สามารถที่จะเข้าใจ สิ่งที่ลึกซึ้ง เพราะเหตุว่า เป็นการตรัสรู้ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น "แต่ละคำ" เพื่อ "เข้าใจ" "เผิน" ไม่ได้เลย สักคำเดียวก็ไม่ได้ เพราะมิฉะนั้นแล้ว เราประมาทว่าเราสามารถที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ต้องศึกษา โดยไม่ต้องฟัง เหมือนง่าย แต่ความจริงขณะนั้น ถ้าจะกล่าวอีกอย่างหนึ่ง เหมือนเป็นการลบหลู่พระรัตนตรัย
เพราะเหตุว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เหนือบุคคลอื่นใด ทั้งสิ้น ทั้งจักรวาล พระปัญญา ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ไม่มีใครสามารถที่จะเทียมเท่าได้ จึงมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงครั้งละหนึ่งพระองค์ จะมีหลายพระองค์ อย่างพระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่ได้เลย เพราะว่าปัญญา ไม่มีใครเสมอเหมือน ถ้าเสมอกัน ก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะ ไม่มีใครสามารถ ที่จะมีปัญญาเสมอพระองค์ได้เลย จึงเป็นเฉพาะครั้งละ ๑ พระองค์ กาลหรือสมัยหนึ่ง ก็พระองค์เดียว
เพราะฉะนั้น กาลเวลาผ่านมา คนที่ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจว่า พระธรรมง่าย หรือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ที่เราเคยได้ยิน ได้ฟัง แค่นั้นเอง ใช่ไหม? แต่ความจริง ถ้าไม่ประมาท และ ศึกษา "เริ่ม" ที่จะ "เข้าใจพระพุทธเจ้า" จริงๆ เพราะเหตุว่า ส่วนใหญ่ พอได้ยินคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนก็ยกมือไหว้ ท่วมหัว สูงสุดเลย แต่ว่า.........เข้าใจอะไร?...
เพราะฉะนั้น พระองค์ไม่ได้ตรัสรู้ เพื่อให้เราไหว้ ท่วมหัว หรือว่า เทิดทูนไว้สูงสุด โดยที่ไม่เข้าใจพระองค์ว่า แท้ที่จริงแล้ว ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา ที่สามารถจะรู้สิ่งที่คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง ก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น พอคิดถึงคำนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงดับกิเลส ไม่ใช่ไม่รู้อะไร แล้วก็ระงับไว้ ง่ายๆ ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องโลภ ไม่ต้องหลง อย่างนั้น ใครก็พูดได้ แต่ว่า เป็นจริงอย่างนี้ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ ชาวพุทธส่วนใหญ่ ก็จะคิดว่า เขารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว แต่ว่า ถ้าไม่มีการศึกษาธรรมะ ไม่มีทางเลย
แม้แต่จะได้ยินคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ก็ไม่รู้ว่าอะไร? ตามหนังสือ ก็บอกว่า ตรัสรู้ อริยสัจจธรรม ก็พูดกันไปได้ ท่องได้ ชื่อ "อริยสัจจธรรม" แต่ "เข้าใจจริงๆ " หรือเปล่า?
เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เป็นสาวก คือ ผู้ฟัง ต้องเป็นผู้ที่ตระหนักดี ถึง "ความไม่รู้ของตนเอง" แล้วก็รู้ว่า "หนทางเดียวจริงๆ " คือ พระธรรม ที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว สวากขาโต ตรัสรู้และทรงแสดงไว้ดีแล้ว เพื่ออนุเคราะห์เรา ไม่ใช่ให้เราไปคิดเอง แล้วก็คิดว่า พระองค์ตรัสอย่างนี้ หมายความว่าอย่างนั้น แต่ต้องเป็นผู้ที่รู้ว่า ทุกคำ เรายังไม่ได้เข้าใจเลย หรือใครจะเข้าใจ?
เป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่คำเดียว คือ คำว่า "ธรรมะ" เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ถ้าไม่ประมาทจริงๆ จะได้ประโยชน์มาก แล้วก็จะเป็นผู้ที่ตรงต่อธรรมะ และ เป็นผู้ที่ บุญที่ได้ทำไว้ แต่ปางก่อน ทำให้สามารถที่จะถึงความละเอียด ของสิ่งที่ทรงตรัสรู้ และ ทรงอนุเคราะห์ ไม่ใช่เพียงแค่วันเดียว สองวัน ๔๕ พรรษา ตั้งแต่เมื่อได้ตรัสรู้แล้วไม่นาน ก็ทรงแสดงธรรมะและใกล้ที่จะปรินิพพาน ก็ทรงแสดงธรรมะทุกโอกาส ที่มีโอกาส ที่จะมี พระมหากรุณา ที่จะให้คนอื่น ได้เข้าใจสิ่งที่เข้าใจยาก พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญ และ ทรงกระทำ
เพราะฉะนั้น เราประมาทไม่ได้เลย สักคำเดียว ถ้าเป็นผู้ที่เคารพจริงๆ ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังแล้ว ประโยชน์ คือ ไตร่ตรอง แล้วก็เข้าใจว่า สิ่งที่เราได้ฟัง คือ อะไร เป็นความจริง มากน้อย แค่ไหน? เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดมาก ถึงจะเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ตั้งแต่ "คำแรก" คือ คำว่า "ธรรมะ" เข้าใจกันทุกคนหรือยัง? ธรรมะ คือ อะไร? เพราะว่า สนทนาธรรม ศึกษาธรรม ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม แล้ว "ธรรม" คือ อะไร? นี่คือผู้ที่ไม่ละเอียด
แต่ว่า ตามความเป็นจริงแล้ว พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อให้คนอื่น เกิดปัญญา เพราะว่า เป็นสิ่งที่ให้กันไม่ได้เลย เงินทองให้กันได้ แต่ว่า "ปัญญา" เอาไปให้ใคร ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย ผู้นั้นต้องรู้ว่า ปัญญา คือ อะไร?
เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มจาก คือ อะไร? เพื่ออะไร? ให้ "เข้าใจ" จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ ฟัง รับรู้ เชื่อ นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ ของการที่จะให้คนอื่น ได้รู้ความจริง เพราะความจริง ต้องเป็นผู้ที่ฟังเอง และ กว่าจะมีบุญแต่ปางก่อน ที่จะทำให้ได้ยินได้ฟัง "คำ" ที่เข้าใจได้ยาก รู้ได้ยาก ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยฟังมาก่อนเลย ไม่เคยเห็นประโยชน์ ผู้นั้น ก็จะไม่ฟัง
เพราะเหตุว่า รายการธรรมะ (ที่ทางมูลนิธิฯเผยแพร่ทางวิทยุและโทรทัศน์...ผู้เขียน) มีมาก เปิดแล้ว ได้ยินแล้ว ก็ยังไม่สนใจจนจบ ตั้งแต่ต้น จนจบ ก็ยังไม่ฟังเลยสักคำ ก็ได้ นี่ก็เป็นสิ่งซึ่ง แสดงความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะแม้แต่คำว่า อนัตตา ไม่ใช่ภาษาไทย มาจากคำว่า อัตตา สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ก็คือ อนัตตา
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราเคยเห็น ว่าเป็นนั่น เป็นนี่ ทั้งหมด ถ้าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นอย่างเรา เหมือนเรา ไม่ต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ สิ่งที่เราเห็น ต้องไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ และรู้ความจริง ละเอียด ยิบ ตั้งแต่ต้น จนถึงที่สุด ไม่มีอะไรที่จะไม่ตรัสรู้ และ ทรงแสดง เพราะฉะนั้น ทรงแสดง ตามที่ได้ทรงตรัสรู้ ซึ่งรู้ว่า คนอื่น ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย
ด้วยเหตุนี้ พระปัจฉิมวาจา ก่อนที่จะปรินิพพาน "ยังความไม่ประมาท ให้ถึงพร้อม" "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้น มีความดับไป เป็นธรรมดา" ฟังแล้ว ไตร่ตรอง ฟังแล้ว คิด เพื่อเข้าใจ เมื่อจริงแล้ว ประโยชน์มหาศาลสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีความเกิดขึ้น
เดี๋ยวนี้ สิ่งต่างๆ ที่กำลังปรากฏ ต้องเกิด สิ่งนั้นมีความดับเลย แสดงว่า ปัญญาของเรา จะไปคิดเองว่า ทำอย่างนั้น อย่างนี้ ฟังอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่ต้องอย่างนั้น อย่างนี้ ก็จะได้รู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น การเคารพอย่างยิ่ง ก็คือ "ไม่เผิน" แต่ละคำ สามารถที่จะเข้าใจได้จริงๆ และ ตรงด้วย และ ถูกด้วย ไม่ผิดเลย เพราะว่า เดี๋ยวนี้ สามารถพิสูจน์ได้ ทุกขณะ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น ไม่ทราบว่าทุกคน มั่นใจหรือยัง ว่าธรรมะ คือสิ่งที่มีจริง แค่นี้ค่ะ มั่นใจแล้วนะคะ สนทนากันดีไหม?
คุณพรต ขออนุญาตเรียนถามนะครับ คราวที่แล้วไปที่สวนเบญจสิริ ยังมีคำถามที่ค้างใจอยู่ ขออนุญาตเรียนถามอาจารย์ว่า ตอนที่นอนแล้วฝัน ฝันว่าไปโน่น ไปนี่ ไปต่างๆ นานา จิตไปไหนครับ? จิตไปจริงๆ ไหม? หรือว่า เป็นแค่เพียงความนึกคิด เท่านั้น แล้วนึกคิด ถ้านึกคิดไม่ดี ฝันในสิ่งไม่ดี เป็นมโนกรรมไหม?
ท่านอาจารย์ ทั้งหมด เพราะไม่รู้จักจิต เป็นปัญหาเยอะเลย เดี๋ยวนี้ มีจิตไหม?
คุณพรต มีครับ
ท่านอาจารย์ จิตอะไร?
คุณพรต ก็จิตกับเจตสิก ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ที่ได้ยิน ที่ได้เห็น
ท่านอาจารย์ อันนี้ "ชื่อ" อันนี้ชื่อ แต่...เดี๋ยวนี้!! มีจิตไหม? จิต จริงๆ มีไหม? นั่นเป็นชื่อ จิต เจตสิก แล้ว เดี๋ยวนี้ มีจิต จริงๆ หรือเปล่า?
คุณพรต มีครับ
ท่านอาจารย์ ขณะไหน? เมื่อไหร่? ที่เป็นจิต ที่ว่าเป็นจิตจริงๆ เมื่อไหร่คะ?
คุณพรต ก็น่าจะตลอดเวลา กระมังครับ?
ท่านอาจารย์ เอาแต่ละหนึ่งก็ได้ค่ะ เอาแต่ละหนึ่ง เดี๋ยวนี้ ทีละหนึ่ง เพราะจิตมีเยอะ
คุณพรต เห็นอยู่ครับ ได้ยินอยู่ครับ
ท่านอาจารย์ "เห็น" เป็นจิต เพราะอะไร?
คุณพรต เพราะเป็นความจริงครับ เพราะว่า....
ท่านอาจารย์ ทำไมใช้คำว่าจิต
คุณพรต เป็นตัวรู้ ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น ต้องมีธาตุ หรือ ธรรมะ อย่างหนึ่ง เราไม่พูดถึงอะไรเลยทั้งสิ้น กำลังพูดถึงธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้าพูดถึงสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ "เห็น" มีจริงไหม?
คุณพรต มีจริงครับ
ท่านอาจารย์ จะเรียก "เห็น" ว่าอะไรดี? หรือ ไม่ต้องเรียกก็ได้?
คุณพรต เรียกอะไรก็ได้ ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้วทำไมถึงต้องเรียกอะไรก็ได้ ไม่เรียกก็ได้?
คุณพรต เพราะมันมีจริง ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะมีจริงๆ แต่ว่า ถึงแม้ว่าจะมีจริง ก็ยังไม่ได้รู้ ว่าขณะนี้ ที่เห็นจริง มีอะไรอีก ที่จริง ในขณะที่เห็น
คุณพรต ได้ยิน ครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ในขณะที่ได้ยิน ในขณะที่เห็น นอกจากที่ว่าจิตเห็น ใช่ไหม? แล้วอะไรอีกที่จริง ในขณะที่เห็น?
คุณพรต ปรุงแต่ง ครับ
ท่านอาจารย์ ยังเลยค่ะ นี่ค่ะ เราเริ่มจะ "คิดเอง" คิดเอง นะคะ
คุณพรต ครับ
ท่านอาจารย์ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว คือว่า เราไม่รู้จักจิตพอ จึงได้เกิดความสงสัยมากมาย ว่า แล้วจิตไปไหน? ขณะนั้น ขณะนี้ ใช่ไหม?
คุณพรต ครับ
ท่านอาจารย์ ซึ่งความจริง จิต เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุ ปัจจัย ก็ไม่เกิด หรือ เกิดไม่ได้ อันนี้ พอจะเห็นด้วยไหม?
คุณพรต ครับ
ท่านอาจารย์ อย่างจิตเห็น ถ้าไม่มีจักขุปสาทรูป ที่สามารถกระทบ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น จิตเห็น ก็เกิดไม่ได้แล้วต้องเป็นไปตามกรรม ด้วย ว่า ถ้าเป็นสิ่งที่น่าพอใจ ก็เป็นผลของกุศลจิตนั้น ก็เป็น กุศลวิบาก เพราะฉะนั้น นอกจาก "จิต" ในขณะที่ "เห็น" มีอะไรอีก? ธรรมะ ทั้งๆ ที่มีอยู่ทุกวัน ก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้ฟัง แล้วก็ ธรรมดามากเลย พอรู้แล้ว ฟังแล้ว....อ้อ....ใช่ไหม? แต่ว่า ก่อนนั้น ยังไงๆ คิดเองไม่ออก แน่เลย
เพราะฉะนั้น ถึงได้ถามว่า แล้วจิตไปไหน? อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังเห็น นอกจากจิตแล้ว มีอะไรอีกคะ? พูดชื่อ ทั้งนั้นเลย ค่ะ ดูสิคะ? เห็นไหม? นึกไม่ออก หรือว่า ยัง ยังไงคะ?
คุณพรต ตัวช่วยได้ไหมครับ? (หัวเราะ)
ท่านอาจารย์ ค่ะ (หัวเราะ ทุกคนหัวเราะ) ค่ะ มีจิตเห็น ต้องมี สิ่งที่ถูกเห็น นี่ค่ะ ธรรมดามากเลย ใช่ไหม? มีจิต "ได้ยิน" ก็ต้องมี "เสียง" ที่จิต กำลังได้ยิน ไม่ใช่เสียงอื่นด้วย เฉพาะเสียงนั้น ที่ปรากฏ เพราะจิตเกิดขึ้นได้ยินเสียงนั้น เสียงนั้นจึงปรากฏได้ จิตเกิดขึ้น อาศัยเหตุปัจจัย พอได้ยิน แล้วดับเลย ไม่ได้ไปไหนเลย
คุณพรต ครับ
ท่านอาจารย์ ทุกขณะค่ะ เกิดขึ้น แล้วก็ดับ เกิดขึ้น แล้วก็ดับ เกิดตรงไหน ดับตรงนั้น รู้สิ่งใด รู้สิ่งนั้น แล้วก็ดับไป ไม่เหลือเลย สั้นมาก เร็วมาก สุดที่จะประมาณได้ จึงได้ "ลวง" ให้เห็นเหมือนกับว่า มีสิ่งที่เที่ยง เป็นเรา เข้าใจว่า สิ่งนั้น เป็นเรา คิดถึงสิ่งที่ดับแล้ว ใช่ไหม? เพราะทุกขณะ เกิดแล้วดับ พอใจ ติดข้อง ในสิ่งที่ดับแล้ว เห็นไหม? คิดว่า "ยังอยู่" ทั้งนั้นเลย
แต่ความจริง ไม่ฉลาดเลย จะใช้คำว่า "โง่" เดี๋ยวก็จะได้ว่า พูดคำที่ไม่น่าพูดอีก (หัวเราะ) แต่ว่า ตามความเป็นจริง ก็คือว่า ไม่ต้องมีใคร (ว่า) หรอก ตัวเองนั่นแหละ รู้ ใช่ไหม? อย่างนี้ ยังไม่รู้ แล้วก็จะไปรู้พระธรรมได้ ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ถึงจะรู้ได้ เช่น ขณะนี้ "จิตเห็น" ก็ต้องมี "สิ่งที่ถูกเห็น" จะมี "สิ่งที่ถูกเห็น" โดยที่ "จิตไม่เห็น" ได้ไหม? หรือว่า จะมี "จิตเห็น" โดยไม่มี "สิ่งที่ถูกเห็น" ได้ไหม?
คุณพรต ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ ก็ไม่ได้ เพราะ "จิต" เป็น "ธาตุรู้" จึงต้องมี "สิ่งที่ถูกจิตรู้" ในขณะนั้น เท่านั้นเอง เกิดแล้วดับ ไม่ไปไหนเลย
ตอนหลับแล้วฝัน ตายหรือยังคะ?
คุณพรต ยังไม่ตาย ครับ
ท่านอาจารย์ ยังไม่ตายใช่ไหม? เพราะฉะนั้น จิตมีหรือเปล่า? ขณะนั้น
คุณพรต มีครับ
ท่านอาจารย์ จิตเกิดดับอยู่ ใช่ไหม?
คุณพรต เกิดดับอยู่ ครับ
ท่านอาจารย์ แต่จิตขณะที่กำลังหลับ ไม่เห็น?
คุณพรต ไม่เห็นครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ยิน?
คุณพรต ไม่ได้ยินครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ได้กลิ่น?
คุณพรต ไม่ได้กลิ่นครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ลิ้มรส?
คุณพรต ไม่ได้ลิ้มรสครับ
ท่านอาจารย์ ไม่คิดนึก?
คุณพรต ก็ความฝัน เป็นคิด เป็นไหมครับ?
ท่านอาจารย์ ยังไม่ฝันค่ะ หลับสนิท ยังไม่ฝัน
คุณพรต อ๋อ หลับสนิท ครับผม
ท่านอาจารย์ แต่ยังไม่ตาย เพราะฉะนั้น จิตเกิดขึ้น ทำกิจ ดำรงภพชาติ ที่เราใช้คำว่า ภวังค์ แต่ละหนึ่งขณะ สั้นมาก แล้วก็ดับ สืบต่อ จนกว่าจะถึงวาระซึ่ง รู้ หรือ คิด ซึ่งเราใช้คำว่า "ฝัน"
ท่านอาจารย์ บังคับฝัน ได้ไหม?
คุณพรต ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ไม่อยากฝัน แต่ต้องฝัน ใช่ไหม? แล้วฝันเรื่องอะไร? ก็บังคับไม่ได้ เหมือนเดี๋ยวนี้!! บังคับไม่ให้เป็นอย่างนี้ ได้ไหม?
คุณพรต ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น "ฝัน" ก็คือ "คิด" ขณะใดก็ตาม ที่ไม่ใช่เห็น , ไม่ใช่ได้ยิน ,ไม่ใช่ได้กลิ่น , ไม่ใช่ลิ้มรส ไม่ใช่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส "คิด" หมดเลย เพราะฉะนั้น "กำลังคิด" เดี๋ยวนี้ ต่างกับ "ฝัน" อย่างไร? เพราะเราพูดถึง "จิต" ขณะที่ "เห็น" เป็น "จิต" ขณะ "ได้ยิน" เป็น "จิต" ขณะ "ได้กลิ่น" เป็น "จิต" ขณะ "ลิ้มรส" เป็น "จิต" ขณะ "รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส" เป็น "จิต" นอกจากนั้น "คิดนึก" ทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น ฝัน ก็คือ คิด เพราะขณะนั้น ไม่ได้เห็นจริงๆ ไม่ได้ยินจริงๆ แต่ว่า "คิด" ขณะที่เราบอกว่า "ฝัน" กับคิดเดี๋ยวนี้ ต่างกันอย่างไร? ธรรมะ ธรรมดามาก คิดเองก็ได้ แต่ถ้าไม่ได้ฟังธรรมะ คิดไม่ออก แล้วก็ คิดผิด ด้วย ถ้าคิดเอง แต่ ฟังธรรมะแล้ว ก็ อย่างนี้เอง ธรรมดาอย่างนี้ เหมือนทุกๆ วัน อย่างนี้ แต่ ไม่เคยรู้
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ สิ่งที่มีเป็นปรกติ ให้รู้ว่า ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยรู้ความจริง ไม่ใช่ให้ต้อง ไปทำอะไรให้รู้ แต่ไม่รู้ สิ่งที่มีแล้ว ตั้งแต่เกิด จนถึงวันนี้ !! เดี๋ยวนี้ !! จนกว่า จะได้ฟังพระธรรม
เพราะฉะนั้น "ฝัน" กับ "คิดเดี๋ยวนี้ที่กำลังคิด" ต่างกันอย่างไร? เห็นไหม? ชีวิตประจำวัน แต่ถ้าไม่บอก ก็ไม่รู้ ต่างกันที่ ในฝัน ไม่มีเห็นจริงๆ อย่างนี้เลย มีแต่คิดเรื่องที่เคยเห็น วิจิตร พิสดารมาก ปรุงแต่งให้เป็นอะไรก็ได้ ที่ยับยั้งไม่ได้เลยไม่มีเสียงที่ปรากฏ ในขณะที่ได้ยินอย่างนี้ แต่ฝันว่าได้ยิน เพราะ "จำ" สิ่งทั้งหมด ที่เคยผ่านมาแล้ว แล้วยังปรุงแต่งให้เป็นคิด เรื่องนั้น เรื่องนี้ พูดเรื่องนั้น เรื่องนี้ ด้วย
เพราะฉะนั้น ความต่าง อยู่ที่ ขณะที่ฝัน ไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ เหมือนขณะที่ไม่ฝัน แต่ที่ว่าไม่ฝัน ก็เพราะเหตุว่า แม้ว่ามีคิด แต่ก็มีสิ่งที่คั่น คือ ปรากฏให้เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง แล้วก็คิด ตามเสียง ตามสิ่งที่ปรากฏทางตา จึงกล่าวว่า ไม่ได้ฝัน แต่ความจริงแล้ว เหมือนกัน คือ คิด แต่ว่า คิด เพราะ จำ เวลาคิดทั้งหมด ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน แต่จำ สิ่งที่เคยเห็น เคยได้ยิน
คุณพรต อาจารย์ครับ แล้วถ้าฝันไปในเรื่องที่ไม่ดี เป็นอกุศล เป็นมโนกรรม ไหม? เพราะว่าเป็นความคิด
ท่านอาจารย์ มโนกรรม คือ อะไร?
คุณพรต มโนกรรม ก็คือว่า กรรม ที่เราคิดอยู่ข้างใน ครับ
ท่านอาจารย์ กรรม คือ อะไรก่อน
คุณพรต กรรม คือ จตนาหรือการกระทำ ครับ
ท่านอาจารย์ เป็นจิตหรือเปล่า? เจตนา เป็นจิตหรือเปล่า?
คุณพรต เจตนา น่าจะเป็นเจตสิกหรือเปล่าครับ?
ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิกหรือเปล่า ไม่เอานะคะ
คุณพรต เป็นเจตสิกครับ ไม่ได้เป็นจิต
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก ซึ่งต้องเกิดด้วยกัน ใช่ไหม?
คุณพรต ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เจตนา เป็นอนัตตาหรือเปล่า?
คุณพรต ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น ความหมายของมโนกรรม มี ๒ อย่าง ถ้าเป็นแต่เพียงปัญจทวาร หรือ ทางใจ ก็ตาม แต่ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งหมด เป็นแต่เพียงอกุศลที่เกิดขึ้น ยังไม่ได้ล่วงออกไปทางกาย วาจา เป็นมโนกรรม ทั้งหมด แต่ไม่ใช่มโนกรรม ที่เป็นกรรมบท
เพราะว่า ถ้าเป็นกรรมบท ไม่ใช่เพียงแต่คิดเฉยๆ แต่จะมีการกระทำจากใจ ในขณะนั้นด้วย ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด แต่ว่า ถ้าเรายังไม่ได้รู้จักจิตเลย เดี๋ยวนี้ แล้วเราก็ไปจำชื่อ เยอะมากๆ เหมือนกับเราเรียนธรรมะ แต่ไม่ใช่ไปจำชื่อไว้ พอจากโลกนี้ไป ก็ลืมหมด ชื่อต่างๆ แต่ถ้า เรามีความเข้าใจธรรมะ จะไม่ลืมเลย
ค่อยๆ สะสม จนกระทั่ง สามารถเข้าใจธรรมะ ได้ ไม่ว่าภาษาไหน? อยู่ที่ไหน? เพราะฉะนั้น โดยมาก คนจะกระโดด โดยที่ยังไม่รู้ "คำต้น" คือ "ธรรมะ" หรือแม้แต่ จิต เจตสิก เข้าใจว่ารู้แต่ความจริง "แค่ฟัง" ยังไม่รู้ถึงมีจิตเดี๋ยวนี้ ก็แค่ฟัง ลักษณะของ "ธาตุรู้" ซึ่งเป็น "จิต" ยังไม่ได้ปรากฏ !!!
คุณจักรกฤษณ์ กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ เราสนทนากันเมื่อสักครู่ ก็มีพูดถึงจิต ตอนนี้คืออะไร จิตอยู่ที่ไหน เราก็มีกระบวนการคิด พิจารณา บางทีก็ ตรงเห็นจริงๆ บ้าง อย่างสิ่งที่ปรากฏทางตา ระหว่างสนทนา ก็จะมีกระบวนการที่จะออกมา ในทำนองนี้ แต่ทีนี้ สิ่งที่เราสนทนากัน เพื่อที่จะให้มีความเข้าใจ ยิ่งๆ ขึ้น แต่มันสวนกับ สิ่งที่เราได้เรียนมาตั้งแต่เด็ก ว่า เราต้องมีทฤษฎี มีปฏิบัติ คือ เรียนทฤษฎีแล้ว ต้องลงมือทำ อย่างเรียนหนังสือ ทฤษฎี เสร็จแล้วก็ต้องลงมือทำ ก็คือ ต้องทำ หมายความว่า ยังไงก็ต้องมี ทฤษฎี-ปฏิบัติ
แต่ธรรมะ รู้สึกจะตรงกันข้ามกันหมดก็คือ มีทฤษฎี จะไปเรียน ก็ต้องพิจารณาว่า เรียนด้วยความรู้ไหม? ว่ามีตัวตน หรือ เป็นอนัตตา? เข้าใจตรงนี้ไหม? แล้วลงมือทำนี่ ก็ยิ่งมีความเป็นตัวตน เพิ่มเข้าไปใหญ่ แต่สิ่งเหล่านี้ คือ สิ่งที่เราเรียน เราถูกสอนมาตั้งแต่เด็กครับ ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เด็กจนโต เป็นอย่างนี้หมด มันฝังอยู่
แต่พอมาเจอธรรมะ จะคลายส่วนนี้ ที่จะละความที่จะเป็นตัวตนมา "ฟัง" ไม่นึกถึง ที่จะ "ไปปฏิบัติ" เพราะว่า ส่วนใหญ่ ประมาณ ๙๐ เปอร์เซนต์ ท่านก็สอนว่า ต้องปฏิบัติ ต้องไปลงมือ นั่งสมาธิ เดินจงกรม ต้องสร้างสติ เหล่านี้ ก็คือ การปฏิบัติ ทั้งหมด อันนี้ คือ สิ่งที่เป็นส่วนใหญ่ แล้วเราก็ฝังกันมา ตรงนี้ เราจะทำความเข้าใจ ค่อยๆ ทำความเข้าใจอย่างไร? ถึงจะคลายจากความคิด ที่จะต้อง ทฤษฎี ปฏิบัติ ทฤษฎี ปฏิบัติ อย่างนี้ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็ต้องรู้ว่า เป็นคำสอนของใคร? เป็นคำของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ใช่ไหม? ไปเรียนหนังสือ ก็ต้อง อย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ แล้วก็ไปปฏิบัติกัน นี่คือ วิชาการต่างๆ พอถึงทางธรรมะ ก็ ฟัง ฟัง ฟัง แล้วก็ ไปปฏิบัติกัน นี่คือ คำของใคร? เรายังไม่ได้คิดเลย ต้องคิดก่อน คำของใคร? ที่พูดอย่างนี้ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ คำของใคร?
ถ้าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีคำว่า ภาวนา หมายถึง การอบรมปัญญา ให้ค่อยๆ เจริญขึ้น ไม่ใช่ให้ไปทำอะไรเลย
ทำแล้ว จะเจริญได้อย่างไร? "ทำ" คือ "ไม่รู้" แต่ว่า "ปัญญา" ที่เริ่มเข้าใจว่า "ไม่มีเราที่จะทำอะไรได้เลย" "เห็น" เกิดขึ้น เพราะมีเหตุปัจจัย "ได้ยิน" เกิดขึ้น เมื่อมีเหตุปัจจัย แล้วเกิดแล้วด้วย เดี๋ยวนี้!!! ทุกอย่างที่มีในขณะนี้!!! เกิดแล้ว โดยไม่มีใครทำ แล้วเราจะไปทำหรือ? จะใช้คำว่า "บังอาจ" อีกก็ได้ เห็นไหม? ว่าถ้าเราไม่ได้เข้าใจจริงๆ เราคิด โดยที่เราไม่สำนึก หรือไม่รู้เลยว่า เราทำอะไร? เราไม่ได้ทำตามคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมะไว้ให้ทำอะไร? ไว้ให้เราไปปฏิบัติ? หรือว่า ให้เราได้เข้าใจ "ทุกคำ" ที่ตรัสรู้ ให้ถูกต้อง เพื่อเป็นการอบรม ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพื่อ ละ ความเป็นเรา
แต่ที่ไปปฏิบัติ ใครปฏิบัติ? แล้วไปทำอะไร? คะ? ไปทำอะไร? สำคัญที่สุด ไม่ใช่เขาชวนก็ไป แต่เขาให้เราทำอะไร? แล้วเขาเป็นใคร? ให้เราทำอะไร?
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมะ ให้เราเข้าใจ ต่างกันแล้ว ใช่ไหม? แล้วอะไรที่มีประโยชน์? ความเข้าใจที่เกิดขึ้น เป็นของเราเอง จากการไตร่ตรอง จากการฟัง กับการที่เราไปทำอะไร? เราก็ไม่รู้ ว่าทำอะไร? ทำทำไม? ก็ไม่รู้ เข้าใจอะไรก็ไม่มี แล้วนั่น จะเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้หรือ? เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น ต้องรู้ว่า คำของใคร? ที่พูดอย่างนี้ ที่พูดอย่างนี้น่ะ คำของใคร?
ถ้าเป็น "คำ" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ทุกคำ ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น คือ การอบรม เจริญปัญญา จนกว่าสามารถที่จะถึง ระดับขั้นที่ "ถึงเฉพาะ - ปฏิปัตติ" คำว้า "ปฏิ" แปลว่า "เฉพาะ" , "ปัตติ" แปลว่า "ถึง" ถึงเฉพาะ ลักษณะ ซึ่งกำลังเกิดดับ ขณะนี้ไม่ต้องคำนึงถึงเลย ว่าเกิดไปแล้วเท่าไหร? ดับไปเท่าไหร่? แต่ก็มีการปรากฏให้รู้ได้ ว่า "เห็น" ไม่ใช่ "ได้ยิน" "คิด" ไม่ใช่ "ได้กลิ่น" โลภะ ไม่ใช่ โทสะ ทั้งหมด ธรรมะ ในชีวิตประจำวัน ไม่เหลียวแล ที่จะเข้าใจ แต่กลับมีความเป็นตัวตน ที่จะไปทำให้เกิดอะไร? อยากรู้จริงๆ ว่าไปทำแล้วเกิดอะไร? เข้าใจอะไร? ถ้าไม่เข้าใจ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
ถ้าศึกษาคำสอนแล้ว ไม่มีตัวตนที่จะให้ทำอะไร ทุกอย่าง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ต้องมีความอดทน ถึงระดับบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี แล้วคนที่ไปทำ มีบารมีอะไร? มีบารมีอะไร? ที่ไปทำ อดทนอะไร? สัจจะอะไร?
คุณจักรกฤษณ์ ความอดทน ขันติบารมีได้ไหมครับ?
ท่านอาจารย์ อดทนอะไรล่ะคะ?
คุณจักรกฤษณ์ อดทนที่จะเพียรนั่ง เพียรเดิน
ท่านอาจารย์ อดทนเพียรนั่งร้อยวัน ไม่มีความรู้เลย ตั้งแต่ขั้นต้น แล้วจะเข้าใจอะไร? อดทน ๖ ปี ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ อะไรเลย แล้วจะเจริญได้อย่างไร? แล้วจะรู้อะไร? เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า "อดทน" ก็เข้าใจผิด อดทนไปทำ ด้วยความเป็นตัวตน ไม่ใช่ปัญญา ที่เห็นความลำบากยากยิ่งของธรรมะ ซึ่งแม้เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้น
แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ทรงบำเพ็ญพระบารมี สี่อสงไขยแสนกัปป์ ที่จะรู้ความจริง แล้วก็ทรงแสดงความจริง ใหัเราเริ่มเข้าใจ บางคนก็ ง่ายมากเลย พูดคำว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ด้วยความยากลำบาก แล้วก็สอนเราด้วยพระมหากรุณาคุณ เราไม่ต้องทำอะไร นี่คือ ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น กล่าวตู่ ก็กล่าวตู่ ไม่เป็นความจริง แล้วก็เข้าใจผิดด้วย
แล้วก็ไม่รู้เลยว่า ปัญญา คือ อะไร? แล้วก็ไม่เห็นค่าของพระธรรมแต่ละคำ ด้วย ว่า "แต่ละคำ" ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็ทรงพระมหากรุณาแสดง สิ่งที่ยากที่จะเข้าใจนั้น ตลอดพระชนม์ชีพ เพื่ออนุเคราะห์ เพราะรู้ว่า คนนี้ สามารถฟังได้ สามารถเข้าใจได้ แต่ไม่ไปโปรดพวกเดียรถีย์เลย เพราะเขาไม่ฟัง ถ้าคนที่ไม่ฟัง ไม่มีประโยชน์ อยู่ใกล้ๆ ก็ไม่มีประโยชน์
[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มิชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ หน้าที่ ๒๕ มหาสุญญตสูตร
ดูก่อนอานนท์ เพราะฉะนั้นแล พวกเธอจงเรียกร้องเรา ด้วยความเป็นมิตร อย่าเรียกร้องเรา ด้วยความเป็นข้าศึก ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่พวกเธอตลอดกาลนาน
ดูก่อนอานนท์ เราจักไม่ ประคับประคองพวกเธอ เหมือนช่างหม้อ ประคับประคองภาชนะดินดิบ ที่ยังดิบๆ อยู่ เราจักข่มแล้วๆ จึงบอก จักยกย่องแล้วๆ จึงบอก ผู้ใดมีแก่นสาร ผืนนี้ จักตั้งอยู่
จบ มหาสุญญตสูตรที่ ๒
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา ในกุศลศรัทธาของคุณจักรกฤษณ์ คุณชฏาพร เจนเจษฎา และครอบครัว เป็นอย่างยิ่ง และ
ขออนุโมทนา ในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ เสียดายจริงๆ ที่ติดภารกิจสำคัญไปร่วมไม่ได้ค่ะ แต่ได้อ่านกระทู้นี้โดยคุณวันชัย ภู่งามแล้ว ก็เหมือนไปร่วมสนทนาด้วยตนเอง มีทั้งภาพและสารธรรมที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และขอขอบคุณที่ยกย่องสรรเสริญ (เชียร์) แต่มากเกินไปหรือเปล่าคะ น้อง แต่ก็ดีใจค่ะ แม้จะเพียรบอกตัวเองว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วใจคิดนึกตาม ทำให้เป็นเรื่องราวที่น่าติดข้อง แต่ก็ยังไม่รู้ลักษณะของความติดข้องที่กำลังปรากฏอยู่ดี คงต้องเดินทางไกลอันแสนกันดารในสังสารวัฏฏ์ อีกนานแสนนาน และคงได้พบกันอีกในอนาคตในลักษณะต่างๆ กัน แม้จำกันไม่ได้ แต่ไมตรีจิตที่มีต่อกัน คงทำให้เป็นกัลยาณมิตร ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในทางธรรมต่อไป
ขอบคุณ และขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา ในกุศลศรัทธาของคุณจักรกฤษณ์ คุณชฏาพร เจนเจษฎา และครอบครัว เป็นอย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม ที่ได้ถ่ายทอดความงามของพระธรรม พร้อมภาพที่สวยงาม ครับ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ งดงามมากๆ ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ วันนี้มีฟังเรื่องบังอาจเรียนอาจารย์กำปั่นครับ ผมอาจจะสื่อไม่ตรงกับความรู้สึกก็ขอโทษค้วย
กราบเท้าบูชาคุณ ในเมตตาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาทุกๆ ท่าน ที่ร่วมจัดงานสนทนาธรรม อันเป็นมงคลอุดมในครั้งนี้ ได้สำเร็จลุล่วงไปเป็นอย่างดีครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้ ครับ ที่ได้เก็บรายละเอียดและเรียบเรียงข้อการสนทนาและสรุปพระธรรมได้งดงามยิ่ง ไม่น้อยไปกว่าฝีมือการถ่ายภาพที่สวยงาม เพื่อประโยชน์แก่การเผยแพร่พระสัทธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยท่านอาจารย์สุจินต์ และมูลนิธิฯและ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
งดงามตั้งแต่ต้นจนจบ...และถึงขณะนี้ก็ยังมีภาพและเรื่องราวที่ควรจดจำ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างสูง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณจักรกฤษณ์ และครอบครัวค่ะ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณวันชัย ในกุศลวิริยะด้วยค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนา สารธรรมและภาพประกอบที่เก็บรายละเอียดเหมือนร่วมสนทนาด้วย เพลิดเพลินทั้งในการอ่านและสิ่งที่ปรากฏทางตา.คะ.
อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา ในกุศลศรัทธาของคุณจักรกฤษณ์ คุณชฏาพร เจนเจษฎา และครอบครัว เป็นอย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม ที่ได้ถ่ายทอดความงามของพระธรรม พร้อมภาพที่สวยงามค่ะ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบระลึกถึงคุณของท่านอาจารย์ครับ เมตตาของท่านอาจารย์ในการชี้แนะมีให้กับพวกเราไม่เคยเสื่อมถอยเลย
ขอบพระคุณคุณวันชัยครับ และขออนุโมทนาในส่วนกุศลกับคณะเจ้าภาพงานนี้ ที่ขอบพระคุณ คุณพี่วันชัยเพราะว่าได้มีวิริยะ มีความเพียรอย่างมากที่จะถ่ายทอดบทสนทนาในส่วนสาระสำคัญออกมาให้ได้อ่านกันเป็นตัวหนังสือ ซึ่งรวมไปถึงภาพถ่ายต่างๆ อย่างประณีตมาก ราวกับได้ไปร่วมอยู่ในช่วงกาลครั้งหนึ่งฯ ณ สถานที่แห่งนั้นด้วยครับ ขออนุโมทนาทางคณะเจ้าภาพทุกๆ ท่านด้วยครับ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าจดจำ น่าประทับใจ
ขอบคุณครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ