อุปสีวปัญหา ... วันเสาร์ที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖
โดย มศพ.  25 ส.ค. 2556
หัวข้อหมายเลข 23435

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺสพุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิสงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
... สนทนาธรรมที่ ...

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)

พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. คือ

อุปสีวปัญหาที่ ๖

(ว่าด้วยสิ่งที่เป็นที่อาศัย)

จาก...


[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ ๙๑๒


(ภาพแสดงบรรยากาศการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ วันอาสาฬหบูชา ๒๒ ก.ค. ๒๕๕๖)

...นำสนทนาโดย...

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร

[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ หน้าที่ ๙๑๗

อุปสีวปัญหาที่ ๖

(ว่าด้วยสิ่งที่เป็นที่อาศัย)

[๔๓๐] อุปสีวมาณพ ทูลถามปัญหาว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้ศากยะ ข้าพระองค์

เป็นผู้เดียว ไม่อาศัยธรรมหรือบุคคลอะไร

แล้ว ไม่สามารถจะข้ามห้วงน้ำใหญ่คือกิเลส

ได้ ข้าแต่พระองค์ผู้สมันตจักษุ ขอพระองค์

จงตรัสบอกที่เป็นที่อาศัย อันข้าพระองค์

พึงอาศัยข้ามห้วงน้ำคือกิเลสนี้ แก่ข้าพระ-

องค์เถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพยากรณ์ว่า ดูกร อุปสีวะ

ท่านจงเป็นผู้มีสติ เพ่งอากิญ-

จัญญายตนสมาบัติ อาศัยอารมณ์ว่า ไม่มี

ดังนี้แล้ว ข้ามห้วงน้ำคือกิเลสเสียเถิด ท่าน

จงการละกามทั้งหลายเสีย เป็นผู้เว้นจากความ

สงสัย เห็นธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหาให้

แจ่มแจ้งทั้งกลางวันกลางคืนเถิด.

อุปสีวมาณพ ทูลถามปัญหาว่า

ผู้ใด ปราศจากความกำหนัดยินดี

ในกามทั้งปวงละสมาบัติอื่นเสีย อาศัยอากิญ-

จัญญายตนสมาบัติ น้อมใจลงในสัญญา

วิโมกข์ (คืออากิญจัญญายตนสมาบัติ ธรรม

เปลื้องสัญญา) เป็นอย่างยิ่ง ผู้นั้นเป็นผู้ไม่

หวั่นไหว พึงตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตน-

พรหมโลกนั้นแลหรือ.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพยากรณ์ว่า

ดูกร อุปสีวะ ผู้ใดปราศจาก-

ความกำหนัดยินดีในกามทั้งปวง ละสมาบัติ

อื่นเสีย อาศัยอากิญจัญญายตนสมาบัติ น้อม-

ใจลงในสัญญาวิโมกข์เป็นอย่างยิ่ง ผู้นั้นเป็น

ผู้ไม่หวั่นไหว พึงตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตน-

พรหมโลกนั้น.

อุปสีวมาณพ ทูลถามปัญหาว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้มีสมันตจักษุ ถ้า

ผู้นั้นเป็นผู้ไม่หวั่นไหว พึงตั้งอยู่ในอากิญ-

จัญญายตนพรหมโลกนั้น สิ้นปีแม้มากไซร้

ผู้นั้นพึงพ้นจากทุกข์ต่างๆ ในอากิญจัญ-

ญายตนพรหมโลกนั้นแหละ พึงเป็นผู้เยือก-

เย็น หรือว่าวิญญาณของผู้เช่นนั้น พึงเกิด

เพื่อถือปฏิสนธิอีก.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพยากรณ์ว่า

ดูกร อุปสีวะ มุนีพ้นแล้วจาก -

นามกาย ย่อมถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่ถึงการ

นับ ฉันใด เปรียบเหมือนเปลวไฟ อันกำลัง

ลมพัดไปแล้ว ย่อมถึงการตั้งอยู่ไม่ได้

ไม่ถึงการนับ ฉันนั้น.

อุปสีวมาณพ ทูลถามปัญหาว่า

ท่านผู้นั้น ถึงความตั้งอยู่ไม่ได้

ท่านผู้นั้นไม่มี หรือว่าท่านผู้นั้นเป็นผู้ไม่มี

โรค ด้วยความเป็นผู้เที่ยง ข้าแต่พระองค์ผู้

เป็นมุนี ขอพระองค์จงตรัสพยากรณ์ความ

ข้อนั้นให้สำเร็จประโยชน์แก่ข้าพระองค์เถิด

เพราะว่าธรรมนั้น พระองค์ทรงรู้แจ้งแล้ว

ด้วยประการนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพยากรณ์ว่า

ดูกร อุปสีวะ ท่านผู้ถึงความ

ตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่มีประมาณ ชนทั้งหลายจะ

พึงกล่าวท่านผู้นั้นด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น

ใด กิเลสมีราคะเป็นต้นนั้น ของท่านไม่มี

เมื่อธรรม (มีขันธ์เป็นต้น) ทั้งปวง ท่านเพิก-

ถอนขึ้นได้แล้ว แม้ทางแห่งถ้อยคำทั้งหมด

เป็นอันท่านเพิกถอนขึ้นได้แล้ว.

จบอุปสีวมาณวกปัญหาที่ ๖.

อรรถกถาอุปสีวสูตรที่ ๖

อุปสีวสูตร มีคำเริ่มต้นว่า เอโก อห ข้าพระองค์เป็นผู้เดียว ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า มหนฺตโมฆ คือ ห้วงน้ำใหญ่. บทว่า อนิสฺสิโต

ไม่อาศัย คือ ไม่อาศัยธรรมหรือบุคคล. บทว่า โน วิสหามิ คือ ข้าพระองค์ไม่

สามารถ. บทว่า อารมฺมณ เครื่องอาศัย คือ ธรรมเป็นที่อาศัย. บทว่า ย

นิสฺสิโต ได้แก่ อาศัยธรรมหรือบุคคล.

บัดนี้ เพราะพราหมณ์นั้นได้อากิญจัญญายตนะ จึงไม่รู้ธรรมเป็นที่อาศัย

แม้มีอยู่นั้น ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงธรรมเป็นที่อาศัยและทาง

อันเป็นเครื่องนำออกไปให้ยิ่งขึ้นแก่เขา จึงตรัสคาถาว่า อากิญฺจญฺ

อากิญจัญญายตนสมาบัติ ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า เปกฺขมาโน แปลว่าเพ่ง คือมีสติเข้าอากิญจัญญา

ยตนสมาบัตินั้น และ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้วเห็นโดยความเป็นของ

ไม่เที่ยง เป็นต้น. บทว่า นตฺถีติ นิสฺสาย อาศัยว่า ไม่มี คือทำสมาบัติที่เป็นไป

แล้วนั้นให้เป็นอารมณ์ว่า ไม่มีอะไร. บทว่า ตรสฺสุ โอฆ ข้ามห้วงน้ำคือกิเลสเสียได้

คือข้ามโอฆะ ๔ อย่างตามสมควร ด้วยวิปัสสนาอันเป็นไปแล้วตั้งแต่นั้นมา. บทว่า

กถาหิ คือจากความสงสัย. บทว่า ตณฺหกฺขยรตฺตมหาภิปสฺส เห็นธรรมเป็นที่สิ้น

ไปแห่งตัณหาให้แจ่มแจ้งทั้งกลางคืนกลางวัน คือ จงเห็นนิพพานทำให้แจ่มแจ้งทั้ง

กลางคืนและกลางวัน. ด้วยบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถึงธรรมเป็นเครื่อง

อยู่อย่างเป็นสุขในปัจจุบันแก่อุปสีวมาณพนั้น.

บัดนี้ อุปสีวมาณพครั้นได้ฟังว่า ละกามทั้งหลาย พิจารณาเห็นกาม ที่ตนละ

ได้แล้วด้วยการข่มไว้ จึงกล่าวคาถาว่า สพฺเพสุ ในกามทั้งปวง ดังนี้.

บทว่า หิตฺวา มญฺ ละสมาบัติอื่นเสียได้ คือ ละสมาบัติอื่น ๖ อย่าง

ที่ต่ำกว่าอากิญจัญญายตนสมาบัตินั้น. บทว่า สญฺาวิโมกฺเข ปรเม น้อมใจลง

ในสัญญาวิโมกข์เป็นอย่างยิ่ง คือ น้อมใจลงใน อากิญจัญญายตนสมาบัติอัน

เป็นสัญญาวิโมกข์ สูงสุดในบรรดาสัญญาวิโมกข์ ๗ อย่าง. บทว่า ติฏฺเ นุโส

ตตฺถ อนานุวายี อุปสีวมาณพทูลถามว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ไม่หวั่นไหว พึงตั้งอยู่ใน

อากิญจัญญายตน พรหมโลกหรือหนอ.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงรับรองการตั้งอยู่ประมาณ ๖๐,๐๐๐

กัปป์ ของบุคคลนั้นจึงตรัสคาถาที่สาม. อุปสีว-มาณพ ได้ฟังการตั้งอยู่ในคาถาที่สาม

ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล้ว บัดนี้ เมื่อจะทูลถามความเป็นสัสสตทิฏฐิ และ

อุจเฉททิฏฐิ จึงกล่าวคาถาว่า ติฏฺเ เจ หากพึงตั้งอยู่ ดังนี้ เป็นต้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปูคมฺปิ วสฺสาน สิ้นปีแม้มาก คือ สิ้นปีแม้นับได้ไม่

น้อย. บทว่า ตตฺเถว โส สีติ สิยา วิมุตฺโต ผู้นั้นพึงพ้น

จากทุกข์ต่างๆ ในอากิญจัญญายตนพรหมโลก นั้นแล พึงเป็นผู้เย็น ความว่า

บุคคลนั้นพึงพ้นจากทุกข์ต่างๆ ในอากิญจัญญายตน พรหมโลกนั้นแล พึง

เป็นผู้ถึงความเย็น เป็นผู้เที่ยงที่จะบรรลุนิพพานตั้งอยู่. บทว่า ภเวถ วิญฺาณ

ตถาวิธสฺส วิญญาณของผู้เช่นนั้นพึงเกิด คือ อุปสีวมาณพ ถามถึงความขาดสูญ

ด้วยคำว่า หรือว่าวิญญาณของบุคคลเช่นนั้นพึงดับ เพราะไม่ยึดมั่น, ถามถึงแม้

ปฏิสนธิของบุคคลนั้น ด้วยคำว่า หรือว่าวิญญาณพึงมีเพื่อถือปฏิสนธิอีก.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงถึงการปรินิพพานเพราะไม่ยึดมั่น

ของพระอริยสาวกผู้เกิดแล้วในอากิญจัญญายตนภพนั้นว่า ไม่เข้าไปอาศัยอุจเฉท

ทิฏฐิ และสัสสตทิฏฐิ แก่อุปสีวมาณพนั้น จึงตรัสคาถาว่า อจฺจิ ยถา

เหมือนเปลวไฟ ดังนี้เป็นต้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถ ปเลติ คือถึงการตั้งอยู่ไม่ได้. บทว่า น อุเปติ

สงฺข ไม่ถึงการนับ คือพูดไม่ได้ว่า ไปสู่ทิศโน้น. บทว่า เอวมุนิ นามกายา วิมุตฺ

โต มุนีพ้นแล้วจากนามกายฉันนั้น คือ พระเสกขมุนี ก็ฉันนั้น เกิดขึ้นแล้วใน

อากิญจัญญายตนภพ นั้น พ้นจากรูปกายในกาลก่อนตามปกติแล้วยังมรรคที่

๔ ให้เกิดขึ้นในภพนั้น จึงพ้นแล้วแม้จากนามกายอีก เพราะกำหนดรู้นามกายเป็น

พระขีณาสพ ผู้อุภโตภาควิมุต ย่อมเข้าถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ คือปรินิพพานด้วย

อนุปาทาปรินิพพาน ย่อมไม่เข้าถึงการนับว่าเป็นกษัตริย์ ดังนี้เป็นต้นฉันนั้น.

บัดนี้ อุปสีวมาณพได้ฟังว่า มุนีย่อมถึงการตั้งอยู่ไม่ได้แล้วเมื่อไม่เข้าใจความ

โดยแยบยลของบทนั้น จึงกล่าวคาถาว่า ตฺถ คโต โส ท่านผู้นั้นถึงความ

ตั้งอยู่ไม่ได้.

บทนั้นมีความดังนี้ ท่านผู้นั้นถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ ท่านผู้นั้น ไม่มี หรือว่า

ท่านผู้นั้นเป็นผู้ไม่มีโรค เป็นผู้มีความไม่แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ด้วยความเป็น

ผู้เที่ยง เพราะเป็นสัสสตทิฏฐิ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุนี ขอพระองค์ได้โปรดตรัส

พยากรณ์ความข้อนั้นให้สำเร็จประโยชน์แก่ข้าพระองค์เถิด. เพราะอะไร. เพราะว่า

ธรรมนั้นอันพระองค์ทรงรู้แจ้งแล้วแท้จริง.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงถึงเรื่องที่ อุปสีวมาณพ

ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น จึงตรัสคาถาว่า อตฺถ คตสฺส ท่านผู้ถึงความตั้งอยู่ไม่ได้

ดังนี้เป็นต้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถ คตสฺส ได้แก่ปรินิพพานเพราะไม่ถือมั่น.

บทว่า น ปมาณมตฺถิ ไม่มีประมาณ คือไม่มีประมาณแห่งรูปเป็นต้น.บทว่า เยน น

วชฺชุ คือชนทั้งหลายพึงกล่าวท่านผู้นั้นด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้นใด. บทว่า สพฺเพสุ

ธมฺเมสุ ได้แก่ธรรมมีขันธ์เป็นต้นทั้งปวง. บทที่เหลือในทุกบทชัดดีแล้ว. พระผู้มีพระ

ภาคเจ้าทรงแสดงพระสูตรแม้นี้ด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัต ด้วยประการฉะนี้.

จบเทศนา ได้มีผู้ตรัสรู้ธรรม เช่นเดียวกับที่กล่าวแล้วนั่นแหละดังนี้แล.

จบอรรถกถาอุปสีวสูตรที่ ๖



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 25 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความโดยสรุป

อุปสีวปัญหา

(ว่าด้วยสิ่งที่เป็นที่อาศัย)

อุปสีวมาณพ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลเพื่อให้พระองค์ตรัสถึงสิ่ง

ที่เป็นที่อาศัยซึ่งเมื่ออาศัยแล้วจะทำให้ข้ามห้างน้ำคือกิเลสได้

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัส ให้มีสติ เพ่งอากิญจัญญายตนสมาบัติ แล้วข้ามห้วง

น้ำคือกิเลสจงละกาม เว้นจากความสงสัย เห็นธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาทั้งกลางวัน

กลางคืนเถิด

อุปสีวมาณพ กราบทูลถาม ว่า ผู้ที่ไม่มีความกำหนัดยินดีในกาม ละสมาบัติอื่น

อาศัยอากิญจัญญายตนสมาบัติ น้อมใจลงในสัญญาวิโมกข์ เป็นผู้ไม่หวั่นไหว

พึงตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนพรหมโลก นั้นหรือพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า

ผู้นั้นเป็นผู้ไม่หวั่นไหว พึงตั้งอยู่ใน อากิญจัญญายตนพรหมโลก นั้น

อุปสีวมาณพ กราบทูลถามต่อไปว่า ผู้นั้น ตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนพรหมโลก

พึงพ้นจากทุกข์ เป็นผู้เยือกเย็น หรือว่าจะต้องมีการเกิดอีก

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้นั้น ย่อมถึงการตั้งอยู่ไม่ได้

อุปสีวะ กราบทูลถามว่า ท่านผู้นั้น ที่ตั้งอยู่ไม่ได้ นั้น เพราะ ผู้นั้นไม่มี หรือ ว่า ผู้นั้น

ไม่มีโรค (ไม่มีความแปรปรวนไป) ด้วยอำนาจแห่งความเที่ยง

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ผู้นั้น ตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะ ดับกิเลสหมดสิ้นแล้วเมื่อ

ปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีก ไม่มีธรรมใดๆ เกิดอีกเลย

(ตามข้อความที่ปรากฏในพระสูตร)

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

โอฆะ...?

กิเลสตัณหา

ตราบใดที่ยังมีตัณหา

อากิญจัญญายตนฌาน

อาศัยพระศาสดา

การดับทุกข์อย่างแท้จริง

ผลของการฟังพระธรรม

ประโยชน์จริงๆ ของการฟังพระธรรม

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 2    โดย paderm  วันที่ 26 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย chatchai.k  วันที่ 30 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย Charlie  วันที่ 31 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย natural  วันที่ 31 ส.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ