ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทราบเพียงว่าดอกไม้เป็นรูปธรรมเกิดจากอุตุความร้อนความเย็น สัดส่วนของมหาภูต ๔ รูปสีกลิ่นรสโอชา เป็นไปโดยอะไรคะ
ขอบพระคุณที่อนุเคราะห์ให้ความรู้ความเข้าใจค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เพราะความวิจิตรหลากหลายของรูป ที่มีความละเอียด หยาบ ประณีต แตกต่างกันไป ประชุมรวมกันเป็นรูป ทำให้ สิ่งนั้นๆ ที่สมมติเรียกว่าเป็นดอกไม้ ก็มีความหลากหลายตามไปด้วย ครับ การศึกษาพระธรรมแม้เรื่องรูป เพื่อ เข้าใจถูกว่า ไม่มีเรา มีแต่ธรรม ครับ
ท่านอาจารย์สุจินต์ มีคำถามที่มีคนถามว่า แล้วทำไมต้องพูดเรื่องรูป มีความสำคัญอะไร
รูป หมายความถึง สิ่งที่มีจริง แต่ไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามซึ่งปรากฏให้เห็นได้ เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา มีจริงๆ แต่สิ่งนั้นไม่รู้อะไรเลย เพียงมีจริง ปรากฏเมื่อมีจิตเห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นี่ก็คือรูปๆ หนึ่ง
เสียงก็มีจริง เกิดปรากฏเมื่อจิตได้ยินเกิดก็ปรากฏเสียง แล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นตลอดชีวิตก็มีรูป ไม่ใช่มีแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็นนามธาตุหรือนามธรรม แต่แม้สิ่งใดที่มีจริง เช่น รูป ก็สมควรจะรู้ เพราะว่าเราติดข้องในรูปหรือเปล่า ด้วยความไม่รู้ว่า เป็นเพียงธรรมที่ปรากฏแล้วหมดค่ะ เมื่อวานนี้เห็นอะไร เมื่อกี้นี้เห็นอะไร ตามความเป็นจริงก็คือ สิ่งนั้นเกิดกระทบจักขุปสาท คือ ตา แล้วก็มีจิตเห็นเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป
นี่คือธรรม ที่ต้องพิจารณาจนเข้าใจจริงๆ ว่า เป็นความจริงอย่างนี้ และความเข้าใจสิ่งนี้ในวันนี้ ก็คือตามที่ได้ฟัง และอบรมไปเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าคลายความติดข้อง เพราะเข้าใจเพิ่มขึ้น ความเข้าใจเพิ่มขึ้น มีรูปที่ตัวแน่ๆ ที่เราบอกว่า “ร่างกาย" แต่ถ้าจะกระทบสัมผัสดู ก็จะเย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ตึงบ้าง ไหวบ้าง ไม่ว่าจะกระทบวันไหน เมื่อไร เวลาใด จะมืดหรือสว่าง เวลากระทบกายที่เป็นรูป ก็เป็นเสิ่งที่เพียงอ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว เป็นธาตุซึ่งมีจริง ไม่ใช่แต่ที่ร่างกาย ที่อื่นก็มีธาตุชนิดนี้ แต่เวลาที่ธาตุชนิดนี้เกิดที่เราเรียกว่า เป็นรูปร่างกาย ก็เหมือนกับว่า เป็นร่างกายของเรา แต่ถ้าพิจารณาจริงๆ เพื่อที่จะรู้ความจริง ก็คือว่า รูปทุกรูปเกิดแล้วดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ เวลานี้รูปใดปรากฏคะ มีหรือเปล่าคะที่กาย มีรูปใดปรากฏไหมคะ ถ้ามี เพราะรูปนั้นเกิดแล้วก็ดับ แล้วรูปอื่นที่ว่าเป็นกายของเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ทำไมไม่มี ในขณะที่เพียงแข็งปรากฏ ตับ ปอด หัวใจ แขน ขา ศีรษะ มือ เท้า ก็ไม่ได้ปรากฏเลย
เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริงก็คือ เฉพาะรูปใดที่ปรากฏ แสดงว่ารูปนั้นมีลักษณะอย่างนั้นเกิดขึ้น แล้วก็รู้ว่าเพียงเท่านั้นเอง ที่เคยเป็นเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ก็ชั่วขณะที่รูปนั้นปรากฏว่ามีจริงๆ แล้วก็ดับไป
ความลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ก็คือว่า รูปที่เราเห็นว่า ใหญ่โต เป็นแขนบ้าง เป็นขาบ้าง ก็คือหลายๆ รูปประชุมรวมกัน ไม่ใช่รูปเดียวเลย เพราะว่ารูปเดียวสามารถจะรู้ว่า เล็กแค่ไหน โดยที่มีอากาศธาตุแทรกคั่นอย่างละเอียดยิบ เพราะฉะนั้นแต่ละรูป แต่ละกลุ่ม แต่ละกลาป ในภาษาบาลี ก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป แล้วก็กำลังทยอยกันเกิด ทยอยกันดับ โดยไม่มีใครรู้เลยทั้งสิ้น
นี่คือจำเป็นต้องกล่าวเรื่องรูป เพื่อให้เห็นความจริงซึ่งไม่ใช่สาระ เพราะเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่รูปก็ยังเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้น จิตไม่ได้เกิดนอกรูปเลย ถ้ารูปนี้ไม่มีจิต ลองคิดดูค่ะ ทุกคนรู้สภาพของรูปซึ่งไม่มีจิต ใช่ไหมคะ เมื่อตายแล้ว รูปก็เคลื่อนไหวไม่ได้ พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ เป็นรูปจริงๆ เหมือนยังไม่ตาย รูปจริงๆ ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย ถ้าไม่มีจิตที่เป็นปัจจัยทำให้รูปนั้นเคลื่อนไหว
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปอย่างละเอียด ชั่วขณะที่แสนสั้น เพราะไม่รู้ความจริงว่า แม้แต่ ๑ รูป กลาปเดียวนั้นก็เป็นที่เกิดของจิต เช่น เห็นขณะนี้ก็ต้องมีรูปที่สามารถกระทบสิ่งที่ปรากฏทางตา เล็กแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นที่เกิดของจิตเห็น
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า เราไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักรูปธรรม ไม่รู้จักนามธรรม จนกว่าจะได้ฟังความละเอียดยิ่ง ค่อยๆ อบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
รูปธรรม เป็นรูปธรรม ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ แต่ก็มีความหลากหลายแตกต่างกันไป ตามควรแก่รูปธรรมนั้นๆ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ประโยชน์จริงๆ ของการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพื่อเข้าใจถึงความเป็นจริงของสภาพธรรม ที่ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งจะเป็นไปเพื่อการละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนสัตว์บุคคลอย่างแท้จริง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ