ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ถอดเทปโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล
มีพระภิกษุชาวต่างประเทศรูปหนึ่งท่านได้เล่าถึงมิตรสหายชาวต่างประเทศของท่าน ให้ฟังว่าท่านพยายามที่จะให้พวกเขาเห็น ว่า ชีวิตเป็นทุกข์.แต่ชีวิตของท่านเหล่านั้นก็เป็นชีวิตที่สะดวกสบาย สุขสำราญดังนั้น มิตรสหายชาวต่างประเทศของท่าน ก็ไม่ยอมที่จะเห็นด้วย ว่า ชีวิตเป็นทุกข์
แต่ควรทราบว่า การที่จะเข้าใจชีวิต ตามความเป็นจริง ซึ่งเกิดดับ ไม่ใช่ตัวตนนั้น สามารถที่จะเห็นตามความเป็นจริงว่า สภาพธรรมที่เกิดดับนั้น เป็นทุกข์ ไม่ใช่โดยการไปทรมานตัวเอง ให้เป็นทุกข์ แล้วจะได้เห็นทุกข์ ฉะนั้น จึงไม่ใช่ว่า ใครมีชีวิตที่สุขสบาย แล้วจะต้องไปเปลี่ยนชีวิตให้ลำบากเพื่อที่จะเห็นทุกข์ ไม่ใช่อย่างนั้นชีวิตของใคร มีปัจจัยที่จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ที่ได้กระทำมาต่างๆ กัน
ฉะนั้น แต่ละคน แต่ละชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชีวิตแบบใดก็ตามสติของผู้นั้น สามารถที่จะเกิดขึ้น รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าไม่ใช่ตัวตน แม้แต่ความรู้สึกเป็นสุข ความสนุกสนานเพลิดเพลินก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย
และถ้าสติเกิด ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น ว่า ไม่ใช่ตัวตนปัญญาที่รู้ความจริง รู้ว่าอกุศลธรรม มีกิจ ที่กระทำให้เกิดโทมนัสเวทนาขณะใด ที่ปัญญารู้ว่า สภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่ใช่ตัวตน เช่น ขณะที่กำลังเห็น เมื่อจิตเห็นเกิด รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้น จะเป็นโทมนัสเวทนาได้อย่างไร ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ก็ไม่ประกอบด้วยโทมนัสเวทนา แต่ถ้าเป็นขณะที่โทมนัสเวทนาเกิด ไม่ได้เป็นเพราะการระลึกรู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริงแต่เป็นเพราะ "กิเลส" ที่ติดข้องในสภาพธรรมที่ปรากฏ หมายถึง "กิเลส" ที่เคยยึดถือว่า เป็นเรา เป็นตัวตนของเราและหากมีความเสียดาย เพราะการยึดถือสภาพธรรมนั้นๆ ขณะนั้น ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่การระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ปัญญาไม่เป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกเป็นทุกข์ แต่จะตรงกันข้าม คือ ความรู้สึกโล่งใจ เพราะพ้นจากการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตนจึงมีความรู้สึกโล่งใจ หมดห่วง หมดกังวล เพราะได้ประจักษ์ธรรม ตามความเป็นจริง ว่าหาความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน จากสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ได้เลย
ฉะนั้น ไม่ว่าใครจะมีชีวิตอย่างไรก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการอบรมเจริญสติปัฏฐาน เพราะว่า ไม่ใช่เพียงสติระลึกนิดเดียว ก็จะสามารถประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ได้ทันทีสติต้องระลึกจนทั่วจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์สติระลึกรู้ความรู้สึกทุกอย่างที่ปรากฏจริงๆ ว่า ไม่ใช่ตัวตนแต่เป็นเพียง "ความรู้สึก" และความรู้สึก ก็มีหลายอย่างความรู้สึกเฉยๆ ก็มี ความรู้สึกเป็นทุกข์ โทมนัส เสียใจ หรือเป็นสุข ดีใจ ก็มีทั้งหมด เป็นเพียง "ลักษณะของความรู้สึก" ซึ่งต่างๆ กันไปตามเหตุปัจจัย
ฉะนั้น ในวันหนึ่งๆ การเจริญสติปัฏฐาน เป็นไปตามธรรมชาติ ตามปกติโดยการระลึกลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ที่ต่างๆ กัน ของแต่ละคน ไม่เหมือนกันแม้แต่คนเดียว เพราะ ต่างวาระ ต่างกาละ ต่างเหตุ ต่างปัจจัยฉะนั้น สภาพธรรมที่เกิดปรากฏกับแต่ละคน จึงต่างกันไป
เพราะเหตุนี้ สติจึงต้องระลึกรู้สภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง โดยไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ผิดปกติ เช่น มีชีวิตสุขสบายแล้วต้องเปลี่ยนเป็นทุกข์ยาก เพื่อจะได้เห็นทุกข์ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่สามารถที่จะระลึกลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้
แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด สำหรับบางท่านที่ "เปลี่ยนชีวิต" เพราะในครั้งที่พระผู้มีพระภาค ยังไม่ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานแม้พระองค์เอง และพระโอรส พระธิดา ของเจ้าศากยะทั้งหลายก็ได้ละชีวิต ที่สุขสำราญ ออกบรรพชา อุปสมบท เป็นอันมากท่านผู้ฟังก็คงจะสงสัยใช่ไหมว่าทำไม ท่านเหล่านั้น จึงกระทำอย่างนั้นได้ เพราะว่า ท่านมีเหตุปัจจัยที่สะสมมาเช่นนั้นที่จะกระทำได้จริงๆ อย่างนั้น
ขออนุโมทนา
สาธุ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
อนุโมทนาค่ะ
โมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ