เพราะฉะนั้น ถ้าท่านผู้ใดศึกษาเรื่องสมถกัมมัฏฐาน จะมีธาตุมนสิการด้วย แต่ว่าสำหรับผู้ที่เจริญสมถกัมมัฏฐานนั้น เวลาที่ระลึกถึงธาตุหนึ่งธาตุใดใน ๔ ธาตุนี้ ก็มีความมุ่งหมายที่จะระลึกเพื่อให้จิตสงบอยู่ที่อารมณ์เดียว เพื่อให้จิตตั้งมั่นคง ไม่ใช่เพื่อการรู้ชัดแล้วละ
สำหรับธาตุมนสิการ ถึงแม้ว่าจะเป็นโดยนัยของสมถภาวนาก็ตาม เป็นอารมณ์ที่ไม่สามารถจะทำให้จิตบรรลุถึงขั้นอัปปนาสมาธิ เพียงแต่ให้จิตสงบได้ถึงขั้นอุปจารสมาธิเท่านั้น เพราะว่ามีลักษณะของธาตุเป็นอารมณ์ ลักษณะของธาตุนั้น มีแล้วก็หมดไป สิ่งใดที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่สามารถทำให้จิตตั้งมั่นคง จิตไม่สงบถึงขั้นที่จะให้ตั้งมั่นถึงอัปปนาสมาธิ
ธาตุต่างๆ เป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าใครระลึกโดยลักษณะของความเป็นธาตุ จิตก็สงบ และถ้าเป็นการเจริญสมถภาวนาก็ทำให้จิตตั้งมั่นคงแน่วแน่ในอารมณ์นั้นได้ แต่ไม่ละ เป็นแต่เพียงความสงบ และตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์นั้นพอสมควร คือ ถึงขั้นอุปจารสมาธิ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะระลึกรู้ลักษณะของธาตุแล้วบรรลุถึงขั้นอุปจารสมาธิ บางคนก็เป็นเพียงแค่ขณิกสมาธิ บริกัมมสมาธิ ไม่ถึงอุปจารสมาธิ
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องละเอียดที่ท่านผู้ฟังไม่ใช่เพียงแต่ดูชื่อว่า ปฏิกูลมนสิการก็ดี ธาตุมนสิการก็ดี ก็เป็นสมถกัมมัฏฐาน ฉะนั้น เมื่ออยู่ในมหาสติปัฏฐานแล้ว ก็ต้องไปทำแบบสมถกัมมัฏฐาน ไม่ใช่อย่างนั้นเลย วิธีเจริญก็ผิดกัน จุดประสงค์ก็ผิดกัน ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่อยู่ข้างนอก ความอ่อน ความแข็ง ความเย็น ความร้อน เคร่ง ตึง ไหว ไหล เกาะกุม ลักษณะต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้ยึดถือว่าเป็นร่างกายของเรา แต่ที่ระลึกรู้ลักษณะของธาตุภายในบ้าง ภายนอกบ้าง ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง เพื่อให้รู้ความเสมอกันของธาตุข้างนอกกับธาตุที่กายว่าไม่ต่างกัน เมื่อไม่ต่างกัน ทำไมจะยึดถือว่า เป็นร่างกายของเรา
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 95