กลับกรุงเทพ
เมื่อทานอาหารกลางวันที่ห้องอาหารใหญ่โตสวยงามของโรงแรมคล้าร์กแล้ว ก็ออกเดินทางไปสนามบินพาราณสีเวลา ๑๒.๓๐ น. ใช้เวลาเดินทางจากโรงแรม ประ-มาณ ๑ ชั่วโมง และเครื่องจะออกเวลา ๑๖.๓๐ น. คิดว่าจะมีเวลาเหลือเฟือ ที่ไหนได้ขั้นตอนในการตรวจสอบผู้โดยสารขาออกนั้นช่างวุ่นวายสับสนเหลือเกิน เมื่อเข้าไปในห้องผู้โดยสารขาออก คิดว่าคงจะดีกว่าขาเข้า เพราะในประเทศมักจะไม่ค่อยดี ปรากฏว่าแย่พอกัน เพราะเป็นห้องเล็กๆ เมื่อพวกเราร้อยกว่าชีวิตเข้าไปก็แออัดอย่างมาก แอร์ก็ไม่เปิด พัดลมก็เปิดบางตัว กว่าจะแลกตั๋วโดยสารก็เหน็ดเหนื่อยมิใช่น้อย ตรวจเสร็จผ่านศุลกากร คิดว่าจะดีกว่าเดิม ที่ไหนได้ เจ้าหน้าที่ ๒ คน กับผู้โดยสารเกือบสองร้อย แล้วก็ตรวจละเอียดยิบ ได้ยินว่า หลังจากเกิดระเบิดที่มุมไบ ทำให้การตรวจสอบต้องเข้มงวดขึ้น พวกเราหลายคนถึงกับบอกว่า ถ้าสนามบินใหม่ที่กำลังสร้างอยู่ไม่เสร็จ ก็จะยังไม่มาพาราณสีอีก ระหว่างที่รอ พวกเราก็เอาขนมและน้ำที่เหลือมาแจก ทานน้ำไปก็ต้องเข้าห้องน้ำเข้าแต่ละครั้งก็เก็บเงิน ๑๐ รูปี ความจริงเขาไม่ได้เขียนไว้ว่าต้องจ่ายหรอก แต่คนที่เฝ้าห้องน้ำ ทำหน้าที่เปิดปิดประตูให้ เมื่อเราออกมาก็เอามือชี้ที่ปากและท้องของเขาเราเลยแปลว่า ขอเงิน ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่า อย่ากินมาก เพราะต้องเข้าห้องน้ำบ่อยหรือเปล่า ก็ได้ เนื่องจากโลกความคิดของเราและเขาแตกต่างกัน ตามการสะสมที่ต่างกันแต่เรื่องการขอคงจะตรงกันค่ะ
นี่แหละเสน่ห์อินเดีย ที่ทำให้จำอินเดียได้ไม่ลืม ไม่ว่าจะเข็ดเขี้ยวขนาดไหนก็ยังอยากกลับไปกราบสังเวชนียสถาน และสถานที่ต่างๆ ที่มีในพุทธประวัติว่า พระผู้มี-พระภาคและพระอริยสาวกทั้งหลายเคยประทับอยู่ หรือเคยเสด็จผ่านไป จบเสียทีค่ะ ขอบคุณที่กรุณาเขียนให้กำลังใจ ความจริงตอนอยู่ที่อินเดีย คิดถึงคอมพิวเตอร์มากเลย คิดว่าถ้าเอาไปด้วย แต่ละวันจะเขียนเรื่องที่ประทับใจไว้ แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีของท่าน มิฉะนั้น จะได้อ่านเรื่องไม่เป็นสาระมากมาย แค่นี้ก็รู้สึกว่า ได้พาตัวเองและผู้อ่านบ่ายหน้าออกจากธรรมสัญญามากแล้ว แต่ทุกอย่างก็เป็นธรรม ใช่ไหมคะไม่ว่าจะเห็น จะได้ยิน คิดนึกเรื่องราวต่างๆ ถ้าปัญญาสามารถประจักษ์แจ้งแม้เล็กน้อยในลักษณะของสภาพธรรมเหล่านี้ว่า เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ก็เป็นลาภอันประเสริฐสุดในชีวิตนี้แล้ว
ขออนุโมทนาครับ ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังได้ที่นี่ครับ เสน่ห์อินเดีย 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
เสน่ห์อินเดีย 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20
เสน่ห์อินเดีย 21 22 23 24 25 26 27 28 29
ขออนุโมทนาพี่แดงเจ้าของกระทู้ และครูโอ ผู้ทำลิ้งค์ ครับ
อนุโมทนา ครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
อินเดียมีเสน่ห์จริงๆ ..ตามที่ kanchana.c ตั้งชื่อเรื่อง คงเพราะมีความหลากหลาย...ปัญหาอุปสรรค ..ความเป็นธรรมชาติทั้งคนและสิ่งแวดล้อม...สภาพธรรมต่างๆ ให้พิจารณา..และที่สำคัญที่สุดเป็นแดนเกิดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปครั้งใด..ให้ระลึกถึงพระมหากรุณาคุณของพระองค์.....
ใครๆ มักพูดว่าไม่เห็นจะน่าไปเลย...อินเดีย...ลองไปดู..ไปแล้วไม่มีวันลืม...อยากไปอีก...แต่ถามว่าทำไม...ตอบไม่ถูกรู้แต่ว่า..อยากไปเพราะเสน่ห์อินเดียตามที่kanchana.cได้ถ่ายทอดให้อ่านด้วยสำนวนการเขียนที่น่าอ่าน แฝงอารมณ์ขัน...ชวนติดตาม..นั่นแหละ....เสียดายจังที่จบแล้ว...ขออนุโมทนา kanchana.c คะ
ขออนุโมทนากับพี่แดงที่เขียนเรื่องราวเสน่ห์อินเดียได้มากมาย มีรายละเอียด
อ่านแล้วเข้าใจง่าย และทำให้ได้รู้ว่าทุกขณะเป็นธรรมะ ทุกอย่างเป็นธรรมะ และต้องมีความอดทน สะสมการฟัง การอ่านทีละเล็กทีละน้อย เพื่อให้เกิดปัญ-
ญาประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมะ กราบอนุโมทนา อีกครั้งค่ะ
สนุกดีค่ะ คุณป้ายังเขียนหนังสือเรื่อง "มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา" ด้วยใช่หรือเปล่าคะ หนู
ชอบมากเลย ขออนุโมทนาค่ะ หนูจะติดตามอ่านเรื่องต่อไปค่ะ
ทั้งๆ ที่ได้เดินทางร่วมไปในครั้งนี้ด้วย แต่ก็อดใจจดใจจ่อที่จะอ่านเรื่องของพี่แดง (ขออนุญาตเรียกตามท่านอื่นนะคะ เพราะพี่แดงท่านเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารัก คนหนึ่ง) ไม่ได้ แล้วก็เกิดโลภะคือความเสียดายเมื่อเรื่องจบลงในตอนนี้ ขออนุโมทนาค่ะ
นี่แหละเสน่ห์อินเดีย ที่ทำให้จำอินเดียได้ไม่ลืม ไม่ว่าจะเข็ดเขี้ยวขนาดไหน
ก็ยังอยากกลับไปกราบสังเวชนียสถาน และสถานที่ต่างๆ ที่มีในพุทธประวัติว่า พระผู้มี-พระภาคและพระอริยสาวกทั้งหลายเคยประทับอยู่ หรือเคยเสด็จผ่านไป
สาธุ ขอเหตุและปัจจัยที่ท่านและข้าพเจ้าได้สะสมมา ขอให้ท่านได้มีโอกาสกลับไป
กราบสังเวชนียสถานฯ อีกเนืองๆ (รู้สึกเหมือนตัวเอง phanratไม่พอรึเปล่าคะเนี่ย)
แถมอีกนิดค่ะ ไปคราวหน้า อาจารย์แดง อย่าลืมพกคอมฯ ไปด้วยนะคะ
กราบขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ :-)
อนุโมทนาท่านkanchana.c ที่บรรจงเขียน
เรื่องราวทั้งแง่บวกและมุมที่ประทับใจมาหลายหน้า
เวลาที่เราย่างเดินทุกแห่งในสังเวชนียสถานนั้น
เป็นเวลาที่ได้ตรึกระลึกว่าสถานที่นนี้หนอครั้งพุทธกาล กว่า 2553 ปีก่อนนี้
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้ย่างพระบาทอยู่บริเวณนี้
ช่างเป็นกุสลที่เวลาผ่านไปเป็นพันปีแล้วเรายังมีโอกาสได้มาดินแดนที่พุทธองค์เคยเสด็จมาก่อน
อีกทั้งสาวก พระอรหันต์อื่นๆ อีกเล่า
ช่างน่าปลื้มปิติจริง
ส่วนมวลมนุษย์ที่แวดล้อมดูแลสังเวชนียสถาน
เราเองต้องขอบคุณเขาที่เขายังรักษาสังเวชนียสถานไว้ให้เราไปกราบไหว้บูชา
ไม่ทำลายเสียแบบในบางประเทศต้องขอบคุณชาวอินเดียจริงๆ
เงินไม่มากที่ให้ทานแก่เขานั้นเทียบได้กับบุญคุณที่ชาวอินเดียช่วยดูแลสถานที่เหล่านี้รอคอยศาสนิกมาเยี่ยมกราบบูชา
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ ติดตามอ่าน 2 วันจบ น่าสนใจ อ่านแล้วเหมือนได้มาเอง แต่ลองทบทวนดูสัญญาจำ ก็จำได้แต่เรื่องไม่น่าจำ รูป นามที่ต้องระลึก ก็ลืม