ปิฎกที่ ๓ คือ พระอภิธรรมปิฎก บางคนอาจจะกลัวว่า พระอภิธรรมปิฎกยากมาก และไม่มีโอกาสได้ฟังบ่อย แต่เมื่อเข้าใจความหมายของธรรมว่า “ธรรม” คือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ และการที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ได้ถูกต้องนั้น ต้องมีหนทางเดียวคือ ศึกษาพระอภิธรรม เพราะอีกนัยหนึ่งอภิธรรมเป็นธรรมส่วนละเอียดจริงๆ ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงจากการตรัสรู้ คือประจักษ์แจ้งสัจธรรม ความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ สำหรับพระอภิธรรมปิฎก ผู้ที่ศึกษาก็ย่อมจะเห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมที่ได้ตรัสรู้ไว้อย่างละเอียดที่สุด เป็นการย่อยโลกทั้งหมดออกเป็นรูปธรรม และนามธรรม จนไม่เหลือส่วนที่จะพึงยึดถือว่าเป็นตัวตนได้เลย ที่ว่าพระอภิธรรมปิฎกเป็นอารมณ์ของปัญญา ก็เพราะผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรมปิฎก ย่อมสามารถเข้าใจสภาพธรรมต่างๆ ที่พระองค์ได้ตรัสรู้และทรงเทศนาไว้อย่างละเอียด
จากหนังสือ บทบาท อ.สุจินต์ ในการเผยแผ่พุทธธรรม
โดย พระธนนาถ นิธิปญฺโญ
ถ้าศึกษาพระอภิธรรมไม่ดี ทำให้ฟุ้งซ่าน เช่น บางอย่างเกินวิสัยที่เราควรคิด ทำให้สงสัยฟุ้งซ่านค่ะ ศึกษาเท่าที่ปัญญาพอจะรู้ได้ คือสภาพธรรมะขณะนี้ค่ะ
เพราะคำว่าสภาพธรรม มีความหมายกว้างและลึกซึ้งมากเป็นเหตุให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโดยละเอียด เพื่ออนุเคราะสัตว์โลกให้ประจักษ์ธรรมพ้นทุกข์อย่างแท้จริง เนื้อหาสาระในพระไตรปิฏกจึงสอดคล้องกันมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
ขออนุโมทนา
ทำให้รู้ว่า ความรู้ที่ผมมีเป็นแค่เศษผงธุลีในจักรวาล!
สาธุ
ขออนุโมทนาครับ