ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมที่มูลนิธิ
ท่านอาจารย์ แต่คุณนิรันด์ลืมว่า คุณนิรันด์รักสิ่งที่ปรากฏทางตา เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะทุกอย่างที่เป็นที่น่ายินดี เพราะฉะนั้น ก็จะมีการนึกถึงว่า เป็นญาติบ้าง เป็นพี่บ้าง เป็นน้องบ้าง แต่ตามความเป็นจริง คือยังมีความติดข้อง ไม่ว่าสิ่งใดจะปรากฏทางหนึ่งทางใดนะค่ะ เพราะความไม่รู้จึงจำว่าเป็นคน เป็นหลาน เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เพราะเหตุว่ายังมีความติดข้อง เครื่องผูก กามราคะสังโยชน์ ยังมีความพอใจอยู่ค่ะเปลี่ยนจากหลาน เปลี่ยนจากคุณแม่ เปลี่ยนจากใครก็ตามแต่ ก็ยังเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาที่ยังพอใจ เป็นเสื้อ เป็นอาหาร เป็นอะไรได้ทั้งหมด ไม่สิ้นสุดความพอใจ
เพราะฉะนั้นจะไม่รู้เลยนะค่ะว่า ถ้ายังคงมีกามราคะความพอใจ ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็จะต้องมีทุกข์ค่ะ ไม่ใช่ไปโทษว่า เพราะอย่างนั้นทำให้เราเป็นทุกข์ เพราะรักคนนี้ทำให้เราเป็นทุกข์ เพราะรักคนโน้นทำให้เราเป็นทุกข์ แต่เพราะเรายังมีความติดข้อง ไม่จบ เพราะฉะนั้นก็ทุกข์ไม่จบ...
คนเรามีความหน่วงนึกในใจ ๑๘ คือเห็นแล้วก็ สุกข์ ทุกข์ และไม่สุกข์ไม่ทุกข์ ฯลฯ ถ้าปัญญาเกิดรู้ว่าเป็นธรรมก็จะไม่โทษใครทั้งนั้น ครับ
ถ้าเห็นโทษของความพอใจ ความติดข้อง ความต้องการแล้ว......โทสก็น่าจะเบาบางลงตามลำดับใช่ไหมครับ
ขออนุโมทนาในความวิริยะด้วยครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
เรียน ความเห็นที่ 2
ปัญญาเห็นโทษของอกุศลทุกชนิด และปัญญาก็เห็นคุณของกุศลทุกประการ เมื่อปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น อกุศลต่างๆ ก็ค่อยๆ เบาบางลง แต่ถ้าตราบใดยังมีกิเลสอยู่ ยังไม่ดับเป็นสมุเฉท ก็เวียนมาเป็นแบบนี้อีกไม่จบ ดังนั้น กิเลสที่จะต้องดับก่อน คือ โลภะที่ประกอบด้วยความเห็นผิด ที่ยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคลตัวตน ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ