ภาษาบาลีสัปดาห์ละคำ [คำที่ ๖๓๐] มรณธมฺมา
โดย Sudhipong.U  28 ก.ย. 2566
หัวข้อหมายเลข 46549

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “มรณธมฺมา

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

มรณธมฺมา อ่านตามภาษาบาลีว่า มะ - ระ - นะ - ดํา - มา มาจากคําว่า มรณ (ความตาย) กับคําว่า ธมฺมา (เป็นธรรมดา) รวมกันเป็น มรณธมฺมา แปลว่า สัตว์ทั้งหลาย มีความตายเป็นธรรมดา แสดงถึงความ เป็นจริงว่า สัตว์โลกทั้งหมด ไม่มีเว้นเลย เมื่อเกิดมาแล้ว ล้วนมีความตายเป็นธรรมดาด้วยกันทั้งหมด ต้อง ไปสู่อํานาจของความตาย คือไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้เลยแม้แต่คนเดียว ความเกิด ย่อมมีอยู่ตราบ ใด ความตายก็ย่อมมีอยู่ตราบนั้น เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ความตายก็ย่อมเกิดขึ้น ซึ่งก็คือ จิตขณะสุดท้ายของ ชาตินี้ เกิดขึ้นทํากิจหน้าที่เคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย ไม่มีใครอยู่ เหนือความตายได้เลย ตามข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ จูฬรถวิมาน ดังนี้

บทว่า โน เตปิ อชรามรา ความว่า มีความแก่และความตายเป็นธรรมดาทีเดียว อธิบายว่า แม้ความเป็นผู้มีทรัพย์มากเป็นต้น ก็ห้ามความแก่และความตายที่อยู่เหนือท่านเหล่านั้นไม่ได้


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา เกิดจากการที่พระองค์ทรงบําเพ็ญ พระบารมีมาถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานมาก ทุกคําจึงมาจากพระคุณอันประเสริฐ ยิ่งของพระองค์ การที่แต่ละคนจะได้มีโอกาสได้ยิน ได้ฟังพระธรรมแต่ละคําที่พระองค์ทรงแสดงในครั้ง นั้นและได้สืบทอดมาจนถึงยุคนี้สมัยนี้ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระธรรมยังดํารงอยู่ จึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดใน ชีวิต เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของคําสอน ก็ล้วนเป็นคําจริง เป็นคํา อนุเคราะห์เกื้อกูล เป็นเครื่องเตือนที่ดีในชีวิตประจําวัน เพื่อให้ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษามีความเข้าใจถูกเห็นถูก มี ความประพฤติที่ดีงามทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ขัดเกลากิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต จนกระทั่งสูงสุดเพื่อความเป็นผู้หมดจดจากกิเลส ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น

ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงจนหมดสิ้น การเวียนว่ายตายเกิดย่อมมีอยู่ตราบนั้น ไม่เป็นสุคติภูมิ ก็ เป็นทุคติภูมิ ตามกรรมของแต่ละบุคคล กล่าวคือถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ทําให้ไปเกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็น มนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา ตรงกันข้าม ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมก็ทําให้ไปเกิดในอบายภูมิ เป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง ตามควรแก่กรรมของแต่ละบุคคลที่ได้กระทํามา

ชีวิต เป็นการเกิดดับสืบต่อกันของจิตแต่ละขณะๆ จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะ ต่อไปเกิดขึ้นเป็นไป ที่กิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตเกิดขึ้นเป็นไปก็เพราะได้สะสมมาแล้วในอดีต เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อปัญญายังไม่เจริญขึ้นถึงขั้นที่จะดับกิเลสได้ กิเลสก็จะเกิดขึ้นอีกต่อไป อย่างเช่นในชาตินี้ และเพราะยังมีกิเลสอยู่นี้เอง การเวียนว่ายตายเกิด จึงยังไม่จบสิ้น เป็นเหตุให้มีสภาพ ธรรมเกิดดับสืบต่อไป ยังไม่พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏฏ์

การเกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่งนั้น สั้นมาก ไม่ยั่งยืนเลย ความเกิดยังเป็นไปตราบใด ความตายก็ย่อมมีอยู่ ตราบนั้น แม้จะเกิดเป็นเทวดามีความสุขสะดวกสบายทุกอย่าง แต่ถึงอย่างไรแล้ว ในที่สุดก็จะต้องเคลื่อนพ้น จากความเป็นเทวดา แม้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็เป็นเช่นเดียวกัน เกิดมาในแต่ละภพแต่ละชาติ ก็ต้องสิ้นสุดที่ ความตายทั้งนั้น เกิดแล้วก็จะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น แล้วยังต้องเกิดอีก ยังต้องเดินทางต่อไปใน สังสารวัฏฏ์ มีการเกิดอยู่ร่ําไป ตราบใดที่ยังไม่หมดกิเลส ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม นั่นเอง ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมแต่ละหนึ่งๆ เท่านั้น

ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น บุคคลรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา หรือญาติพี่น้องเป็นต้น ย่อมสามารถ ช่วยเหลือทํากิจในด้านต่างๆ แก่เราได้ แต่พอถึงเวลาตาย บุคคลเหล่านั้นไม่สามารถที่จะช่วยต้านทานไว้ได้ เลย กล่าวคือไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้ไม่ตายได้ ใครๆ ก็ช่วยเราไม่ได้เลยจริงๆ แม้จะมีแพทย์ผู้มีความสามารถ มากเพียงใด ก็ไม่สามารถทําให้ไม่ตายได้ จึงไม่มีใครสามารถรอดพ้นจากความตายไปได้เลย

ดังนั้น ต้องไม่ลืมเลยว่า ทุกคนกําลังจะตาย จะตายเหมือนอย่างคนที่ตายไปแล้ว บางคนไปเยี่ยมคน ป่วยหนัก คิดว่าเขากําลังจะตาย แต่ความจริงทุกคนทั้งหมดเลยกําลังจะตาย คนที่ไปเยี่ยมอาจจะตายก่อนก็ ได้ ซึ่งไม่มีการรู้ล่วงหน้าเลยว่าใครจะตายเมื่อไหร่ที่ไหนอย่างไร แต่ทุกคนกําลังจะตายแน่นอน มั่นใจได้เลยว่า ตายแน่นอนทุกคน พอถึงเวลานั้นก็ตายแน่ๆ เมื่อจิตขณะสุดท้ายในภพนี้ชาตินี้เกิดขึ้น ก็ต้องละจากโลกนี้ไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ก่อนตายจะทําอะไร? ซึ่งควรจะได้พิจารณาจริงๆ ว่า เมื่อแต่ละคนจะต้องตายอย่างแน่นอน เพราะสัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นธรรมดา ถ้าเห็นว่าสิ่งใดมีประโยชน์ที่สุด ก็ทําสิ่งนั้น ไม่ทําสิ่งอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ทําดีและฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งกับตนเ และผู้อื่น นั่นคือ ประโยชน์ที่ควรจะเกิดขึ้นก่อนที่จะตายจากความเป็นบุคคลนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าเป็นสิ่งที่ ประเสริฐที่จะสะสมสืบต่อเป็นที่พึ่งต่อไป



ความคิดเห็น 1    โดย nui_sudto55  วันที่ 10 มี.ค. 2567

สาธุครับ