[เล่มที่ 51] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 116
เถรคาถา ทุกนิบาต
วรรคที่ ๓
๔. วัลลิยเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวัลลิยเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 51]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 116
๔. วัลลิยเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวัลลิยเถระ
[๒๘๐] ได้ยินว่า พระวัลลิยเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
สิ่งใดอันบุคคลผู้มีความเพียรมั่นพึงทำ กิจใดอันบุคคลผู้ปรารถนาจะตรัสรู้พึงทำ เราจักทำกิจนั้นๆ ไม่ให้ผิดพลาดตามคำพร่ำสอน ขอท่านจงดูความเพียร ความบากบั่นของเรา อนึ่ง ขอท่านจงบอกหนทางอันหยั่งลงสู่อมตมหานิพพานให้เรา เราจักรู้ด้วยปัญญา เหมือนกระแสแห่งแม่น้ำคงคาไหลไปสู่สาคร ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 117
อรรถกถาวัลลิยเถรคาถา
คาถาของท่านพระวัลลิยเถระ เริ่มต้นว่า ยํ กิจฺจํ ทฬฺหวิริเยน. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สุเมธะ บรรลุนิติภาวะแล้ว ถึงความสำเร็จในวิชาและศิลปศาสตร์ ละสมบัติ ๘๐ โกฎิ บวชเป็นดาบส ให้เขาสร้างอาศรมไว้ที่ริมฝั่งน้ำแห่งหนึ่ง ที่ชัฏป่าใกล้เชิงเขา แล้วอยู่ เห็นพระศาสดา ผู้เสด็จเข้าไป เพื่อจะทรงอนุเคราะห์ตน มีใจเลื่อมใส ลาดหนังเสือ (เป็น อาสนะ) ถวายบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ประทับนั่งบนหนังเสือนั้น ด้วยดอกไม้และจันทน์ ถวายผลมะม่วง แล้วถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงประกาศสมบัติอันจะพึงได้ เพราะถวายอาสนะที่ประทับนั่ง ทรงกระทำอนุโมทนาแก่ดาบสแล้วเสด็จหลีกไป.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครไพศาลี ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้นามว่า กัณหมิตร เจริญวัยแล้ว เห็นพุทธานุภาพในคราวที่พระศาสดาเสด็จไปพระนครไพศาลี ได้มีจิตศรัทธาบวชในสำนักของพระมหากัจจานเถระ ท่านเป็นผู้มีปัญญาอ่อน และย่อหย่อนในความเพียร อาศัยเพื่อนสพรหมจารี ผู้มีความรู้อยู่ตลอดกาลนาน.
ภิกษุทั้งหลาย ก็เรียกท่านตามลักษณนิสัยว่า วัลลิยะ นั้นเทียว เพราะเหตุที่ท่านไม่อาศัยภิกษุผู้เป็นบัณฑิตบางรูป ก็ไม่สามารถจะเจริญงอกงามได้ เหมือนเถาวัลย์ ถ้าไม่อาศัยบรรดาพฤกษชาติ มีต้นไม้เป็นต้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 118
บางชนิด ก็ไม่สามารถจะเจริญเติบโตได้ฉะนั้น. แต่ในเวลาต่อมา ท่านเข้าไปหาพระเวณุทัตตเถระ ตั้งอยู่ในโอวาทของพระเถระแล้ว เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะอยู่ เมื่อจะถามพระเถระถึงลำดับแห่งข้อปฏิบัติ เพราะมีญาณแก่กล้า จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า
สิ่งใดอันบุคคลผู้มีความเพียรมั่นพึงทำ กิจใดอันบุคคลปรารถนาจะตรัสรู้พึงทำ เราจักทำกิจนั้นๆ ไม่ให้ผิดพลาด ตามคำพร่ำสอนของท่าน จงดูความเพียรความบากบั่นของเรา อนึ่ง ขอท่านจงบอกหนทาง อันหยั่งลงสู่อมตมหานิพพานให้เรา เราจักรู้ด้วยปัญญา เหมือนกระแสแห่งแม่น้ำคงคาไหลไปสู่สาคร ฉะนั้น ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ กิจฺจํ ทฬฺหวิริเยน ความว่า สิ่งใด อันบุคคลผู้มีความเพียรมั่น คือมีความขยันขันแข็งพึงทำ ได้แก่ กิจใดอันบุคคลพึงทำ คือพึงปฏิบัติด้วยความเพียรมั่น หรือด้วยการเอาใจใส่ธุระของบุรุษ.
บทว่า ยํ กิจฺจํ โพทฺธุมิจฺฉตา ความว่า กิจใดอันบุคคลผู้ปรารถนา เพื่อจะรู้คือตรัสรู้ คือใคร่จะแทงตลอดอริยสัจ ๔ หรือพระนิพพานนั่นแหละ พึงกระทำ.
บทว่า กริสฺสํ นาวรชฺฌิสฺสํ ความว่า บัดนี้ เราจักทำกิจนั้นๆ ไม่ให้ผิดพลาด คือ จักปฏิบัติตามคำสั่งสอน.
บทว่า ปสฺส วิริยํ ปรกฺกมํ ความว่า พระเถระแสดงความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะทำของตน ด้วยคำว่า ท่านจงดูความพยายามชอบ อันได้นามว่า " วิริยะ " เพราะกระทำถูกต้องตามวิธี ในธรรมตามที่ปฏิบัติอยู่ และได้นามว่า ปรักกมะ เพราะก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่แต่เพียงเชื่อเท่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 119
พระเถระเรียกพระเวณุทัตตเถระ ผู้ให้กรรมฐาน ผู้เป็นกัลยาณมิตร ว่า ตวํ (ท่าน).
บทว่า มคฺคมกฺขาหิ ความว่า ท่านจงบอกอริยมรรค. อธิบายว่า จงบอกกรรมฐานคือสัจจะ ๔ อันยังโลกุตรมรรคให้ถึงพร้อม.
บทว่า อญฺชสํ ได้แก่ ทางตรง โดยเป็นทางสายกลาง เพราะไม่จดทางอันเป็นส่วนสุด ๒ อย่าง.
บทว่า โมเนน ได้แก่ ญาณ คือ มรรคปัญญา.
บทว่า โมนิสฺสํ ความว่า จักรู้ คือ จักแทงตลอด ได้แก่จักบรรลุ พระนิพพาน.
บทว่า คงฺคาโสโตว สาครํ ความว่า กระแสแห่งแม่น้ำคงคา ไม่เบื่อหน่ายไหลลงสู่สาครคือสมุทร โดยส่วนเดียว ฉันใด พระวัลลิยเถระก็ ฉันนั้น ขอกรรมฐานกะพระเถระว่า ข้าพเจ้าประกอบเนืองๆ ซึ่งกรรมฐาน จักบรรลุถึงพระนิพพาน ด้วยมรรคญาณ เพราะฉะนั้น ท่านจงบอกกรรมฐานนั้น แก่ข้าพเจ้า.
พระเวณุทัตตเถระ ฟังคำขอนั้นแล้ว ได้ให้กรรมฐานแก่ท่านพระวัลลิยเถระ. แม้ท่านพระวัลลิยเถระ หมั่นประกอบเนืองๆ ซึ่งกรรมฐาน ขวนขวายวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว ต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถา ประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราละเบญจกามคุณอันน่ารัก น่ารื่นรมย์ใจ และละทรัพย์ประมาณ ๘๐ โกฎิแล้ว บวชเป็นบรรพชิต ครั้นบวชแล้ว ได้เว้นการทำความชั่วด้วยกาย ละความประพฤติชั่วด้วยวาจา อยู่แทบฝั่งแม่น้ำ พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 120
ได้เสด็จมาหาเราผู้อยู่คนเดียว เราไม่รู้จักว่าเป็นพระพุทธเจ้า เราได้ทำปฏิสันถาร ครั้นทำปฏิสันถารแล้ว จึงได้ทูลถามถึงพระนามและพระโคตรว่า ท่านเป็นเทวดาหรือคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกปุรินททะ ท่านเป็นใคร หรือเป็นบุตรของใคร หรือเป็นท้าวมหาพรหมมาในที่นี้ ย่อมสว่างไสวไปทั่วทิศ เหมือนพระอาทิตย์อุทัยฉะนั้น ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ จักรมีกำพันหนึ่งปรากฏที่เท้าของท่าน ท่านเป็นใคร เป็นบุตรของใคร เราจักรู้จักท่านอย่างไร ขอท่านจงบอกชื่อและโคตร บรรเทาความสงสัยของเราเถิด พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า เราไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกปุรินททะ และความเป็นพรหมก็หามีแก่เราไม่ เราสูงสุดกว่าพรหมเหล่านั้น ล่วงวิสัยของพรหมเหล่านั้น เราได้ทำลายเครื่องผูกพัน คือกามได้แล้ว เผากิเลสเสียหมดสิ้น บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดมแล้ว. เราได้สดับพระดํารัสของพระองค์แล้ว จึงได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหามุนี ถ้าพระองค์เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ขอเชิญพระองค์ประทับนั่งเถิด ข้าพระองค์จะขอบูชาพระองค์ ขอพระองค์จงทำที่สุดทุกข์แก่ข้าพระองค์เถิด.
เราได้ลาดหนังเสือถวายพระศาสดาแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนือหนังเสือนั้น ดังสีหราชนั่งอยู่ที่ซอกภูเขาฉะนั้น เราขึ้นภูเขาเก็บเอาผลมะม่วง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 121
ดอกรังอันสวยงาม และแก่นจันทน์อันมีค่ามาก เราถือประคองของทั้งหมด เข้าไปเฝ้าพระผู้นำของโลก ถวายผลไม้แด่พระพุทธเจ้า แล้วเอาดอกรังบูชา ก็เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส มีปีติอันไพบูลย์ ได้เอาแก่นจันทน์ลูบไล้แล้ว ถวายบังคมพระศาสดาผู้นำของโลก พระนามว่า สุเมธะ ประทับนั่งบนหนังเสือ เมื่อจะยังเราให้ร่าเริง ได้ทรงพยากรณ์กรรมของเราในครั้งนั้นว่า ด้วยการถวายผลไม้กับของหอม และดอกไม้ทั้งสองอย่างนี้ ผู้นี้จักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลก ๒,๕๐๐ กัป เขาจักเป็นผู้มีความดำริทางใจไม่บกพร่อง ยังอำนาจให้เป็นไปในกัปที่ ๒,๖๐๐ จักไปสู่ความเป็นมนุษย์ จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ มีมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขต วิสสุกรรมเทพบุตร นิรมิตพระนคร อันมีนามว่าเวภาระ จักให้พระนครนั้นสำเร็จด้วยทองล้วนๆ ประดับประดาด้วยรัตนะนานาชนิด เขาจักท่องเที่ยวไปยังกำเนิดทั้งหลาย โดยอุบายนี้เทียว เขาจักเป็นผู้ถึงความสุขในทุกภพ คือในความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ เมื่อถึงภพสุดท้าย เขาจักเป็นบุตรพราหมณ์จักออกบวชเป็นบรรพชิต จักเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งอภิญญา ไม่มีอาสวะ ปรินิพพาน พระสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า สุเมธะ ผู้นำของโลก ครั้นตรัสดังนี้ เมื่อเรากำลังเพ่งดูอยู่ ได้เสด็จเหาะไปในอากาศ ด้วยกรรมที่ทำไว้ดีแล้วนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 122
และด้วยความตั้งเจตนาไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้เข้าถึงสวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากดุสิตแล้ว ไปเกิดในครรภ์ของมารดา ในครรภ์ที่เราอยู่ ไม่มีความบกพร่องด้วยโภคทรัพย์แก่เราเลย เมื่อเรายังอยู่ในครรภ์ของมารดา ข้าว น้ำ โภชนาหารเกิดตามความปรารถนา แก่มารดาของเราตามใจชอบ เราออกบวชเป็นบรรพชิต แต่อายุ ๕ ขวบ เมื่อปลงผมเสร็จเราก็ได้บรรลุพระอรหัต เราค้นหาบุรพกรรมอยู่ ก็มิได้เห็นโดยกัปที่ ใกล้ๆ (แต่) เราระลึกถึงกรรมของเราได้ถึง ๓๐,๐๐๐ กัป ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นบุรุษอาชาไนย ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าพระองค์อาศัยคำสอนของพระองค์ จึงได้บรรลุบทอันไม่หวั่นไหว ในกัปที่ ๓๐,๐๐๐ เราบูชาพระสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้าเรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตตผล ก็ได้กล่าวคาถาเหล่านี้แหละ ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาวัลลิยเถรคาถา *
* ในอปทานเรียกชื่อว่า จันทนมาลิยเถรคาถา