คนเห็นกรรม
โดย ณหทัย  27 มี.ค. 2556
หัวข้อหมายเลข 22693

เวลามีคนมาปรึกษา เช่น

เพื่อน จะเปลี่ยนงานดีไม๊ โดยไม่เล่าปัญหาให้ฟังว่าทำไม

เรา แล้วเรามองไปเพลินๆ ที่วัตถุอะไรก็ได้กำแพงหรือกระดาษแล้วแต่ เห็นว่าเป็นคนชี้หน้าทะเลาะกันอยู่ (ตัวเราเห็นเป็นภาพนั้น) ก็ถามเขาว่าเคยมีปัญหาชี้หน้าใครไม๊

เพื่อน เนี่ยทะเลาะชี้หน้าด่าเจ้านายมาหยกๆ ถามทำไม

ขอถามว่าเราไปเห็นภาพนั้นได้เพราะอะไรคะ อีกกรณี

เพื่อน ติดขัดเรื่องการเงินมากช่วงนี้ ไม่รู้เป็นไง

เรา ถามเขาว่า เคยรู้จักคนชื่อ......ไม๊

เพื่อน รู้จัก แต่เขาตายไปแล้ว

เรา แล้วมีอะไรเกี่ยวพันกันบ้าง

เพื่อน ค้างเงินค่าจ้างเค้าไว้ เค้าตายซะก่อน เลยยังไม่ได้ให้ หลายปีแล้ว

เรา ก็ไปตามหาญาติแล้วเอาเงินที่ค้างไว้ให้ญาติเค้าไปทำบุญฯลฯ

ขอถามว่า อะไรทำให้เกิดภาพและชื่อคะ (มีหลายกรณีมากค่ะเล่าไม่ไหวเยอะค่ะ) อยากทราบว่าอะไรเป็นเหตุให้รู้เห็นได้ จะได้ทำต่อไปค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 28 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เหตุให้มีการเห็นภาพและชื่อเช่นนั้น ก็เพราะ อาศัย ตา คือ จักขุปสาท และ อาศัย รูป เกิดการเห็นเกิดขึ้น ไม่ใช่เราที่เห็น แต่เป็นจิตที่เห็น เห็นสี และ ก็เกิดจิตที่คิดนึก ต่อ เป็นเรื่องราวว่า เป็นคนนั้นทะเลาะกันอยู่ เป็นต้น เพราะฉะนั้น เหตุที่แท้จริง คือ เพราะอาศัยการคิดนึก ปรุงแต่งของจิตของตนเอง ที่คิดนึกเป็นรูปร่าง สัณฐาน จึงสำคัญว่า มีสัตว์ บุคคล ครับ ถ้าไม่มีสภาพธรรมเลย คือ ไม่มีจิตที่เห็น ไม่มีสิ่งที่เห็น และ ไม่มีจิตที่คิดนึก ก็จะไม่มีใคร ไม่มีชื่อที่สมมติว่าเป็นคนนั้น คนนี้ แต่ เมื่อมีการเห็น มีสิ่งที่ถูกเห็น และ ก็มีจิตคิดนึก ชื่อจึงมี ชื่อมีเพราะอาศัยความคิดนึก ที่เป็นจิตที่คึดนึก เป็นเรื่องราวต่างๆ

และ ไม่เพียงเท่านั้น ต้นเหตุที่แท้จริง คือ อวิชชา ความไม่รู้ที่เป็นกิเลสที่อันตราย ร้ายแรงที่สุด ที่ทำให้สัตว์โลกเมื่อเห็นแล้ว ก็ยึดถือว่าเป็นเราที่เห็น และ ยึดถือด้วยความห็นผิดว่า มีคนอื่นที่ทะเลาะกัน และ ไม่สามารถหาคำตอบได้ เพราะ ไม่มีปัญญาที่ตรัสรู้ รู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎแต่ละขณะ

โลกของความไม่รู้ โลกของอวิชชา และ โลกที่เป็นมายา ที่หลอกสัตว์โลกให้ลุ่มหลง ทั้งๆ ที่ขณะนี้ ก็มีเห็น และ ก็มีสภาพธรรมอื่นๆ แต่ ถูกปกปิดด้วยชื่อ สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ชื่อย่อมครอบงำสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงที่พ้นไปจากชื่อไม่มี เพราะว่าอาศัยความคิดนึกของจิต ทำให้มีเรื่องราวต่างๆ เป็นคนนั้นคนนี้ ขณะนั้นก็มีชื่อแล้ว ชื่อที่เป็นสมมติบัญญัติต่างๆ ถูกครอบงำด้วยชื่อ เมื่อมีเรื่องราวต่างๆ ก็ถูก ครอบงำว่า มีคนนี้ทะเลาะกัน เห็นเป็นมโนภาพต่างๆ นั่นคือ เหตุมาจากถูกครอบงำด้วยกิเลส ความไม่รู้ ที่ลวงด้วยภาพมายา ในลักษณะต่างๆ กิเลสของตนเองเท่านั้นที่หลอก และ ครอบงำ ฉาบทา และ อาศัยชื่อปิดบังสภาพธรรมด้วย ไม่มีปัญญาเข้าใจความจริงในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏแต่ละขณะ

การหาคำตอบในสิ่งใด จะต้องเข้าใจความจริงของสิ่งนั้น ว่าสาเหตุมาจากอะไร เมื่อเข้าใจแล้วว่าสาเหตุมาจากกิเลสของตนเองที่ปิดบัง และ ให้สำคัญผิดว่า มีมโนภาพ และ ยึดถือว่าเป็นคน เป็นสัตว์ บุคคล ก็ควรที่จะอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรมเพื่อละกิเลสเหล่านี้ ไม่เช่นนั้น ก็เพิ่มความสงสัย เพิ่มความไม่รู้ และ ไม่พ้นจากทุกข์ได้เลย เพราะ ไม่มีปัญญา ครับ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย Wisaka  วันที่ 28 มี.ค. 2556

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย khampan.a  วันที่ 28 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ได้เข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม ที่จะเข้าใจธรรม เข้าใจโลก เข้าใจตัวเองตามความเป็นจริง ก็ต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจ เพราะทุกขณะเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง รวมไปถึงขณะที่คิดนึกไปกับเรื่องราวต่างๆ ด้วย และประการที่สำคัญ แต่ก่อนที่เคยคิดไปในเรื่องต่างๆ มากมาย ก็จะค่อยๆ มีการคิด ไตร่ตรอง ทบทวนพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังเพราะอาศัยการฟังพระธรรมเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้น ช่วงเวลาของชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ก็ควรที่จะเป็นไปเพื่อการได้สะสมกุศล และฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 4    โดย wannee.s  วันที่ 28 มี.ค. 2556

ขณะที่จิตเป็นกุศล เช่น ทาน ศีล ภาวนา ขณะนั้นจิตไม่วิปลาส ถ้าจิตเป็นอกุศล เห็นเป็นนิมิต คน วัตถุสิ่งของต่างๆ ขณะนั้นจิตเป็นวิปลาส เพราะเป็นอกุศลจิตค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย ณหทัย  วันที่ 28 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย jaturong  วันที่ 29 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย boonpoj  วันที่ 30 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย Endeavor  วันที่ 31 มี.ค. 2556

เรียนคุณณหทัย สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นปรากฏในโลกนี้ ล้วนเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่เกิดขึ้นโดยไม่มีปัจจัย

เมื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น ได้ตรัสรู้สภาพธรรมทั้งปวงเหล่านั้นตามความเป็นจริง และได้มีพระมหากรุณา ทรงแสดงสภาพธรรมที่มีจริงทั้งปวงนั้น รวมถึงเหตุและปัจจัยทั้งหมดไว้ให้พุทธบริษัททั้ง ๔ ได้ศึกษา เข้าใจ พิจารณา และปฏิบัติตาม จนสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมตามความเป็นจริงได้

สิ่งใดก็ตามที่มีปรากฏขึ้นกับผู้ใด แต่ผู้นั้นไม่รู้ ไม่เข้าใจ และมีความสงสัย สิ่งนั้นไม่ควรเห็นเป็นเรื่องอัศจรรย์ และไม่ควรเจริญให้มาก เพราะความไม่รู้ (อวิชชา) เป็นปัจจัยให้สังสารวัฏฏ์ดำเนินต่อไปอีก ไม่จบไม่สิ้น ผู้ใดก็ตามที่ยังมีความสงสัย และความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้ทราบว่า ควรศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคผู้รู้ในธรรมะทั้งปวงและทรงแสดง ให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้นจนเข้าใจในเหตุปัจจัยของธรรมะทั้งปวงที่ปรากฏ ซึ่งจุดประสงค์หลักคือเพื่อละคลายทั้งความยึดติดในสภาพธรรมเหล่านั้น (โลภมูลจิต 8 ดวง) ความขุ่นเคืองไม่พอใจในสภาพธรรมเหล่านั้น (โทสมูลจิต 2 ดวง) และความไม่รู้ในสภาพธรรมเหล่านั้น (โมหมูลจิต 2 ดวง) หรือกล่าวโดยสรุปคือ เพื่อละกิเลสทั้งปวงด้วยปัญญาอันยิ่งนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ สิ่งใดที่เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว เป็นเหตุให้ความไม่รู้ (อวิชชา) มีเพิ่มขึ้น สิ่งนั้นท่านก็ไม่ควรเจริญ แต่สิ่งใดที่เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว เป็นเหตุให้ความรู้ (ปัญญา) มีเพิ่มขึ้น สิ่งนั้นท่านจึงควรเจริญให้มีกำลัง จนกระทั่งวันหนึ่ง กิเลสนั้นไม่มีปัจจัยที่จะเกิดอีกต่อไป เพราะมีความรู้จริงทั้งในลักษณะ และเหตุปัจจัย ของสภาพธรรมทั้งปวง จนปัญญานั้นประหานกิเลสได้หมดสิ้นเป็นสมุจเฉท

ขอให้ท่านมั่นคงในจุดประสงค์ของการศึกษา คือเพื่อเจริญปัญญา (ความรู้จริง) เพื่อละคลายการยึดติดในสิ่งทั้งปวงจริงๆ มิใช่เพื่อการติดข้องในสิ่งทั้งปวงด้วยความไม่รู้การเริ่มต้นจึงต้องอาศัยความพากเพียรในการศึกษาทั้งโดยการอ่าน และการฟังให้เข้าใจจริงๆ เสียก่อน แล้วความเข้าใจจะเป็นเหตุให้สติเกิดขึ้นระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ และปัญญาจะค่อยๆ พิจารณาสภาพธรรม ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลายาวนานเรื่อยไป ดังที่พระสาวกทั้งหลาย ได้อบรมเจริญมาแล้วในอดีตด้วยความไม่ประมาท เพราะธรรมะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น ละเอียด ลึกซึ้งจริงๆ

ขออนุโมทนา