ผมมีข้อสงสัยอีก ๓ ประการครับ ขอความกรุณาอาจารย์และบุคคลากรช่วยตอบให้ด้วยนะครับ
๑. เหตุใดเมื่อจิตเห็นสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ก็ติดข้องต้องการ หรือเมื่อเห็นสิ่งที่ระคายเคือง ก็ขุ่นใจบาดหมางครับ
๒. อาจารย์เคยบรรยายถึงเรื่องสติปัฏฐาน ซึ่งสตินอกจากจะเป็นธรรมที่มีสภาพระลึกรู้แล้ว สติยังเป็นธรรมที่เป็นใหญ่และเป็นธรรมที่มีกำลัง (สตินทรีย์และสติพละ) แต่ถ้าในความเป็นจริงในชีวิตประจำวันของเรา สติไม่มีกำลังพอ ยังมีธรรมอื่นที่เป็นใหญ่หรือมีกำลังอื่นๆ ให้ระลึกอีกหรือไม่ เพื่อการเกื้อกูลหรือบรรเทาธรรมที่เป็นพิษ
๓. เหตุใดมนุษย์ทุกคนจึงควรเจริญกุศลทุกประการ และเมื่อบำเพ็ญกุศลกรรมใดๆ ควรอธิษฐานในจิตใจอย่างไร จึงจะได้ชื่อว่ากระทำในใจไว้โดยแยบคาย
ขอขอบคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงครับและขอให้ท่านอาจารย์ และบุคคลากรของมูลนิธิเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปครับ
๑. เหตุที่เมื่อเห็นแล้วจิตเป็นอกุศล มูลเหตุสำคัญเพราะยังละอกุศลยังไม่ได้ จิตจึงเป็นอกุศลบ้าง เป็นกุศลบ้าง ตามการสะสมมา สำหรับผู้ที่ละอกุศลได้เป็นสมุทเฉทแล้ว (พระอรหันต์) เมื่อท่านเห็น ได้ยิน เป็นต้น จิตของท่านจะไม่เป็นอกุศล อีกอย่างหนึ่งบางพระสูตรพระพุทธองค์แสดงว่า เมื่อไม่สำรวมในอินทรีย์ทั้งหลาย เมื่อเห็น อภิฌาและโทมนัสย่อมครอบงำจิตได้
๒. สภาพธรรมที่ทำกิจระลึกรู้ คือ สติเจตสิก ธรรมอย่างอื่นไม่ทำกิจระลึกรู้ ส่วนธรรมที่มีกำลัง (พละ) นอกจากสติพละยังมีอีก ๔ ประการ คือ ศรัทธาพละ วิริยพละ สมาธิพละ ปัญญาพละ
๓. เหตุที่มนุษย์ทุกคนควรเจริญกุศลทุกประการ เพราะกุศลเป็นเหตุแห่งความสุข และกุศลย่อมเกื้อกูลต่อกุศลขั้นสูงยิ่งขึ้น ทุกครั้งที่บำเพ็ญกุศลจุดประสงค์ที่ถูกต้องตามหลักธรรม คือ เพื่อขัดเกลาอกุศล เพื่อละเท่านั้น ไม่ควรปรารถนาสิ่งอื่นใด
ผมขอถามคำถามเกี่ยวกับพละเพิ่มนะครับ ศรัทธาพละ นั้นคือให้เราศรัทธาในอะไรครับ วิริยพละ นั้นคือให้เรามีความเพียรในสิ่งใดครับ สมาธิพละ นั้นคือให้จิตจดจ่ออยู่ในธรรมะใดครับ ปัญญาพละ นั้นคือให้เรารู้อะไรครับ และพละ หรือธรรมะที่เป็นกำลังนั้น ถ้าสามารถปฏิบัติตามแล้วได้กำลังจริง กำลังดังกล่าวมีไว้เพื่ออะไรครับ
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์และบุคคลากรของมูลนิธิมากครับ
โปรดอ่านข้อความโดยตรงจากพระไตรปิฎก
เชิญคลิกอ่าน....
กำลังของเสขบุคคล ๕ [วิตถตสูตร]
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ และบุคคลากรของมูลนิธิฯ มากครับ ขอให้ท่านมีความเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปครับ
ขอบคุณมากครับ
ขออนุโมทนาครับ