ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ท่านผู้ฟัง เมื่อกี้นี้ผมได้ฟังคำบรรยายว่า สุข ทุกข์ ทางใจเกิดขึ้นเพราะคิดนึก คิดนึกนี้ไร้สาระ เมื่อก่อนนี้ผมเคยมาพูดที่นี่ว่า คิดนึกเรื่องราว อาจารย์ว่าเรื่องราว จริงๆ ไม่มี ผมไปคิดว่ามันจริงอย่างอาจารย์ว่า และสุข ทุกข์ทางใจก็เกิดเพราะคิดนึก แต่ผมยังรู้สึกว่าคิดนึกมันสำคัญ สมมติว่าตึกนี้เราจะสร้างขึ้นมาได้ เราต้องคิดนึกก่อน เสื้อผ้าที่เราใส่ จะมีเสื้อผ้าขึ้นมาต้องมีการผ่านการคิดนึก อาหารการกินและของที่กิน ก็ต้องผ่านการคิดนึกเหมือนกัน จึงเป็นอาหารขึ้นมาให้เรากินได้ เมื่อสงครามที่อ่าว เปอร์เซียเกิดขึ้นมาอย่างใหญ่โตนี้ก็เกิดขึ้นเพราะคิดนึก ถ้าไม่มีการคิดนึก สงครามนั้น ก็ไม่เกิดขึ้น เครื่องบิน อาวุธ จรวด อะไรๆ ก็เกิดขึ้นเพราะคิดนึก ผมจึงว่าคิดนึกนี่มัน สำคัญ เมื่อคืนนี้ได้ยินอาจารย์ว่า คิดนึกนี่ไร้สาระ ผมจึงข้องใจว่า ทำไมจึงไร้สาระ เรื่องราวนี้ไม่มีจริงๆ แต่ผมยังข้องใจว่า ของมันไม่มีจริงๆ ทำไมมันจึงสำคัญนัก เรื่องราวไม่มีจริงๆ มันมีแต่จิตคิดนึก แต่เรื่องราวทำไมจึงสำคัญ ผมจึงข้องใจมานาน แล้ว เมื่อคืนได้ยินอาจารย์พูดอีกว่า คิดนึกนั้นไร้สาระ จึงขอถาม
ท่านอาจารย์ สำคัญ ในความหมายที่ว่า ถ้าไม่เข้าใจสมมติบัญญัติแล้วมีชีวิตเป็น อยู่ไม่ได้ ใช่ไหมคะ ที่ว่าสำคัญนี้ แม้แต่จะรับประทานอาหารก็รับประทานไม่ได้ แน่นอน ถ้าไม่มีจิตที่คิดนึกถึงจานถึงอุปกรณ์ในการบริโภค เพราะฉะนั้นการมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ว่าคนนั้นเป็นผู้ที่ เห็นแล้วไม่คิด ได้ยินแล้วไม่คิด ไม่มีใครเลยค่ะ ในสังสารวัฏฏ์ที่เกิดมาแล้ว จะไม่คิด แต่ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสภาพธรรมตาม ความจริงว่า แม้การเห็นสี่งที่ประณีต ที่น่าพอใจ หรือเห็นสี่งที่ไม่น่าพอใจ ก็ไม่อยู่ ในอำนาจบังคับบัญชาฉันใด ความคิดนึกของแต่ละคนก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ฉันนั้น แล้วแต่การสะสม ซึ่งทำให้โลกนี้ก้าวไปเรื่อยๆ ด้วยกำลังของความคิดนึก สิ่งต่างๆ อยู่เรื่อยๆ
แต่สำหรับผู้ที่เข้าใจสภาพของโลกคือสภาพของจิต ก็จะรู้ได้ว่า ที่ว่าไม่่มีสาระ หมายความถึงไม่ยั่งยืน
ต้องเข้าใด้วยค่ะ
"ที่ว่าไม่มีสาระนั้น ก็คือไม่ยั่งยืน"
ความคิดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วดับ ไม่มีอะไรสักอย่างเดียว ซึ่งเกิดแล้วไม่ดับ เพราะฉะนั้นถ้ายังยึดถือมั่นในความคิดว่า เป็นตัวตน เป็นเรา นั่นคือความเห็นผิด แต่ผู้ที่มีปัจจัยที่จะให้คิด เพราะว่าเมื่อเห็น เราก็ต้องคิด เมื่อได้กลิ่น ก็ต้องคิด เมื่อลิ้มรสก็ต้องคิด คิดอยู่ตลอดแม้ว่าจะไม่เห็น...ไม่ลิ้มรสก็ต้องคิด แต่ควรจะเป็นผู้ ที่รู้ความจริงด้วย จะทำให้มีความสุขสงบเพิ่มขึ้น เมื่อรู้ความจริงว่า ความคิดไม่เที่ยง เป็นเพียงชั่วขณะจิตที่เกิดขึ้น แล้วดับไป เพราะฉะนั้นก็ไม่มีการที่จะไปบังคับบัญชา ความคิด หรือว่าไม่มีการที่จะไปบิดเบือนเปลี่ยนแปลง การสะสมของเหตุปัจจัย
แต่ปัญญาสามารถที่จะหยั่งลึกถึงการสะสมว่า เพราะเหตุใดจึงคิดอย่างนี้ เพราะว่าบางคนคิดเป็นอกุศลมากเหลือเกิน บางคนก็คิดเป็นกุศล นั่นก็แล้วแต่การสะสม เพราะว่าคงไม่มีใครที่อยากจะมีความคิดในอกุศลเท่านั้น มีแต่อกุศลทั้งวันก็คงแย่ เพราะฉะนั้นก็มีกุศลวิตกด้วย
และกุศลวิตกที่ควรจะเพี่มกำลังขึ้น คือต้องประกอบด้วยปัญญา ที่รู้ความจริงว่า แม้แต่
ขณะที่คิด ก็เป็นเพียงชั่วขณะจิตเดียว
ทุกคนที่วุ่นวายอยู่ในโลกนี้แล้วจากโลกนี้ไป ลืมหมด หรือจะไปวุ่นวายกับโลกนี้ต่อ เมื่อไปเกิดที่อื่น ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ก็วุ่นวายต่อไปกับความคิดนึกในโลกอื่น ซึ่งไป เกิดเป็นบุคคลนั้น บุคคนี้ ในภพอื่น พอที่จะเห็นด้วยไหมคะ
คำพูดที่ว่า ไม่มีสาระในที่นี้ เพราะว่าเป็น เพียงชั่วขณะจิตเดียว ที่เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป แต่ไม่ใช่หมายความว่า ไม่มีการรู้ว่า สี่งที่เห็นเป็นอะไร ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว มีชีวิตอยู่ไม่ได้แน่นอน
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอครับ
ขอบคุณและอนุโมทนาคุณเผดิม และ ทุกท่านครับ
ผู้ที่เข้าใจธรรม ท่านแยกแยะได้ว่าอะไร "จริง" อะไร "ไม่จริง" และท่านเองก็ดำเนินชีวิตอยู่ได้ ตามปกติ ไม่ใช่ว่า พอเข้าใจว่าไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน การดำเนินชีวิตจะต้องผิดปกติไปจากเดิมค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอด้วยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่นด้วยครับ
กระทู้ต่อไปขอเชิญ คุณคำปั่น คุณเผดิม และ ท่านที่สนใจ แสดงความคิดเห็นด้วยครับ
กราบขอบพระคุณยินดีในกุศลค่ะ