[เล่มที่ 56] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 260
๙. ขรัสสรชาดก
ว่าด้วยบุตรที่มารดาละทิ้ง
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 56]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 260
๙. ขรัสสรชาดก
ว่าด้วยบุตรที่มารดาละทิ้ง
[๗๙] "เมื่อใดชาวบ้านถูกปล้นเรียบร้อยแล้ว ฝูงโคถูกเชือดแล้ว เรือนทั้งหลายถูกไฟเผาวอดไปแล้ว ผู้คนถูกต้อนไปแล้ว เมื่อนั้นบุตรที่มารดาละทิ้งแล้ว จึงมาเที่ยวตีกลองอึกทึก".
จบ ขรัสสรชาดกที่ ๙
อรรถกถาขรัสสรชาดกที่ ๙
พระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอำมาตย์ผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "ยโต วิลุตฺตา จ หตา จ คาโว" ดังนี้.
ได้ยินว่า อำมาตย์ผู้หนึ่งของพระเจ้าโกศล ยังพระราชาให้โปรดปรานแล้ว ได้กำลังในปัจจันตคาม ไปร่วมกับพวกโจร กล่าวว่า เราจักพาพวกมนุษย์เข้าป่า พวกเจ้าปล้นบ้านแล้วแบ่งให้เราครึ่งหนึ่ง ดังนี้แล้ว เรียกพวกมนุษย์ให้ประชุมกันแล้ว พาเข้าป่าไปเสียก่อน เมื่อพวกโจรพากันมาจับแม่โคฆ่ากินเนื้อ ปล้นบ้านเรือนพากันไปแล้ว มีมหาชนแวดล้อมกลับเข้าบ้านในเวลาเย็น ไม่ช้าไม่นาน การกระทำของเขาก็ปรากฏ พวกมนุษย์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 261
พากันกราบทูลพระราชา พระราชารับสั่งเรียกเขามาแล้ว ให้กำหนดโทษ ทรงลงพระอาญา สมควรแก่โทษานุโทษ ส่งนายอำเภอผู้อื่นไปแทน แล้วเสด็จไปพระเชตวัน ถวายบังคมพระตถาคต กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่อำมาตย์ผู้นั้นมีปกติประพฤติอย่างนี้ ถึงในกาลก่อนก็มีปกติประพฤติอย่างนี้เหมือนกัน อันพระเจ้าโกศลกราบทูลอาราธนา ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ทรงพระกรุณาพระราชทานปัจจันตคามแก่อำมาตย์ผู้หนึ่ง เรื่องต่อไปทั้งหมด ก็เป็นเช่นเดียวกับเรื่องก่อนทั้งหมด ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ท่องเที่ยวไปในปัจจันตคามเพื่อการค้า พำนักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้น พระโพธิสัตว์นั้น เมื่อนายอำเภอผู้นั้น ตีกลองอึกทึกมากับมหาชนผู้ห้อมล้อมในตอนเย็น จึงกล่าวว่า นายอำเภอผู้ร้ายคนนี้รวมหัวกันกับพวกโจรให้ปล้นชาวบ้าน ครั้นพวกโจรพากันหนีเข้าดงไปแล้ว คราวนี้สิมีกลองตีเดินมา ทำเหมือนคนสงบเสงี่ยม แล้วกล่าวคาถานี้ว่า.
"เมื่อใดชาวบ้านถูกปล้นเรียบร้อยแล้ว ฝูงโคถูกเชือดแล้ว เรือนทั้งหลายถูกไฟเผาวอดไปแล้ว ผู้คนถูกต้อนไปแล้ว เมื่อนั้นบุตรที่มารดาละทิ้งแล้ว จึงมาตีกลองเสียงอึกทึก" ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 262
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโต แปลว่า ในกาลใด.
บทว่า วิลุตฺตา จ หตา จ ความว่า พวกโจรพากันปล้น ฆ่าเชือดฝูงโคเพื่อกินเนื้อ.
บทว่า คาโว ได้แก่ ฝูงโค.
บทว่า ทฑฺฒานิ ความว่า จุดไฟเผาเรือนให้ไหม้.
บทว่า ชโน จ นีโต จับคนนำไปเป็นเชลย.
บทว่า ปุตฺตหตาย ปุตฺโต ได้แก่ ลูกของหญิงที่มารดาละทิ้งแล้ว อธิบายว่า ได้แก่ คนหน้าด้าน เพราะว่าคนที่ปราศจากหิริโอตตัปปะแล้วชื่อว่า ย่อมไม่มีแม่ ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าแม่ยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ไม่ตั้งอยู่ในฐานะเป็นลูก เพราะฉะนั้น เขาย่อมได้ชื่อว่า เป็นลูกของหญิงที่มารดาทอดทิ้ง.
บทว่า ขรสฺสรํ ได้แก่ เสียงครึกโครม.
บทว่า เทณฺฑิมํ ได้แก่ ตีกลอง.
พระโพธิสัตว์ บริภาษเขาด้วยคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้ กรรมนั้นของเขาปรากฏต่อกาลไม่ช้าเลย ครั้งนั้น พระราชาทรงลงพระอาญาแก่เขา สมควรแก่โทษานุโทษ.
พระบรมศาสดา ตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่อำมาตย์ผู้นั้นมีปกติประพฤติอย่างนี้ แม้ในครั้งก่อน ก็ได้มีความประพฤติชั่วมาแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 263
อำมาตย์ในครั้งนั้น ได้มาเป็นอำมาตย์ในครั้งนี้ ส่วนบัณฑิตผู้ยกคาถาขึ้นกล่าว ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาขรัสสชาดกที่ ๙