ปัญญาเจตสิก
โดย thilda  22 มี.ค. 2559
หัวข้อหมายเลข 27589

เรียนถามอาจารย์ค่ะ ปัญญาจะเกิดขึ้นต่อเมื่อได้ฟัง ได้ศึกษา และเข้าใจธรรม ปัญญานี้หมายถึงปัญญาเจตสิก ดังนั้นถ้าไม่ศึกษาธรรม ไม่เข้าใจธรรมเลยแม้ระดับการฟัง ปัญญาเจตสิกนี้ก็ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย ก็ไม่มีทางประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมเลย เพราะปัญญาเจตสิกคือสัมมาทิฏฐิ เป็นหนึ่งในอริยมรรคมีองค์ 8 ขณะที่เข้าใจถึงสภาพธรรมที่มีจริงในระดับการศึกษา ก็มีปัญญาเจตสิกเกิดขึ้น และในระดับประจักษ์แจ้งก็มีปัญญาเจตสิกเกิดขึ้น เป็นปัญญาเจตสิกเหมือนกัน (ประเภทเดียวกัน) แต่มีกำลังต่างกัน ขณะที่เข้าใจในระดับการศึกษา เป็นปัญญาเจตสิกที่มีกำลังอ่อนกว่าปัญญาเจตสิกในขณะประจักษ์แจ้ง เข้าใจแบบนี้ถูกไหมคะ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ทั้งสองท่านที่ให้ความรู้ความเข้าใจค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 23 มี.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สภาพธรรมทั้งหลาย มีเหตุปัจจัย จึงเกิดขึ้น แม้แต่สภาพธรรมที่เป็นปัญญา ปัญญา แม้ไม่เรียกชื่อ แต่มีลักษณะที่มีจริง คือ ความเห็นถุก ความเข้าใจถูก หรือที่เรียกในภาษาธรรมว่า สัมมาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ใน พระไตรปิฎกว่า เหตุให้เกิดปัญญา คือ การฟังเสียงโฆษณา ที่ถูกต้อง และเหตุให้เกิดความเห็นผิด คือ การฟังเสียงโฆษณาที่ไม่ถูกต้อง ความหมาย ก็คือ การได้ฟัง สิ่งที่ถูกต้อง จาก บุคคลใดก็ตาม และ มีการพิจารณาไตร่ตรอง ย่อมเกิดปัญญา เพราะฉะนั้นเหตุให้เกิดปัญญา ต้องอาศัย ปัจจัยสองประการ คือ ปัจจัยภายนอก คือ การฟังธรรมจากสัตบุรุษ ที่เป็นพระธรรมที่ถูกต้อง และ ปัจจัยภายใน ที่สำคัญเช่นกัน คือ การพิจารณาไตร่ตรองธรรมที่เป็นโยนิโสมนสิการของตนเอง

ปัญญา จะมีได้ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม แต่จะต้องฟังด้วยดี จึงเกิดปัญญา คือ พิจารณาไตร่ตรองธรรมสมดังคำของพระเถระที่ว่า

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒- หน้าที่ 49

เถรคาถา เอกนิบาต วรรคที่ ๒

๑. มหาจุนทเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระมหาจุนเถระ

[๒๖๘] ได้ยินว่า พระมหาจุนทเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า การฟังดีเป็นเหตุให้การฟังเจริญ การฟังเป็นเหตุให้เจริญปัญญา บุคคลจะรู้ประโยชนก็เพราะปัญญา ประโยชน์ที่บุคคลรู้แล้ว ย่อมนำสุขมาให้ ฯลฯ

จะเห็นได้ว่า การฟัง ศึกษาพระธรรมเป็นเหตุให้เกิดปัญญา เพราะความหมายของคำว่า สาวก หมายถึง ผู้ที่สำเร็จจากการฟัง เพราะ ฟังแล้ว จึงสำเร็จ คือ เกิดปัญญาของตนเอง แต่ที่สำคัญ ปัญญาจะค่อยๆ เจริญเติบโตทีละน้อย เหมือนการจับด้ามมีดที่ค่อยๆ สึก โดยไม่รู้ตัว และเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมปัญญาก็มีกำลังมาก แต่ต้องอาศัยระยะเวลายาวนาน ครับ ส่วนปัญญาก็มีหลายระดับ ซึ่งผู้ถามมีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วครับ ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 23 มี.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจะเข้าใจถูกเห็นถูกได้อย่างไร จะต้องเป็นผู้เห็นประโยชน์ เห็นคุณค่าของการได้เขาใจความจริง มีศรัทธามีความจริงใจที่จะฟังด้วยจุดประสงค์ที่ถูกต้องว่าเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกเท่านั้น ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ ปัญญาทำกิจของปัญญา คือ เข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริง, การไปทำอย่างอื่นที่ผิดปกติ ด้วยความหวังความต้องการ ด้วยความเห็นผิด ด้วยความไม่รู้ ไม่มีทางที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้นได้เลย ดังนั้น รากฐานที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ การฟังพระธรรม ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 3    โดย thilda  วันที่ 23 มี.ค. 2559

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 23 มี.ค. 2559

เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียด ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย ปาริชาตะ  วันที่ 23 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย wannee.s  วันที่ 23 มี.ค. 2559

ปัญญามีหลายขั้น ตั้งแต่ขั้นฟัง ขั้นพิจารณา และ ขั้นประจักษ์เป็นปัญญาที่รู้ชัดลักษณะของนามธรรม รูปธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย peem  วันที่ 23 มี.ค. 2559

ชอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย rrebs10576  วันที่ 23 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย intra  วันที่ 27 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ ในกุศลจิต


ความคิดเห็น 10    โดย ประสาน  วันที่ 11 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 11    โดย ประสาน  วันที่ 11 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ