พระบรมสารีริกธาตุ
โดย piano  31 มี.ค. 2554
หัวข้อหมายเลข 18124

พระบรมสารีริกธาตุเกิดขึ้นเองได้อีกไหมครับ

ขอบคุณครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 31 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้านั้น เมื่อครั้งที่พระองค์ปรินิพพานใหม่ๆ มีประมาณ

เท่าใด ปัจจุบันจนถึงสิ้นพระศาสนาก็มีประมาณเท่านั้นคือมีจำนวนเท่าเดิมไม่เพิ่มขึ้น

พระพุทธเจ้าที่ทรงมีพระชนมายุยืนเช่นพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ยุคสมัยนั้นมนุษย์

มีอายุ 20000 ปี พระบรมสารีริกธาตุจะมีชิ้นเดียว เป็นแท่งเดียวจะไม่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

เหมือนพระพุทธเจ้าที่มีพระชนมายุสั้น ส่วนพระพุทธเจ้าสมัยเราคือพระพุทธเจ้าพระ

สมณโคดม สมัยนั้นมนุษย์มีอายุขัย100 ปีซึ่งเป็นอายุที่สั้นเพราะฉะนั้นพระบรม

สารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าเราจึงเป็นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย ด้วยเหตุผลที่พระองค์ได้

อธิษฐานให้กระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อยเพราะพระองค์ทรงดำริว่าเรามีอายุที่

สั้น ชนทั้งหลายรุ่นหลังไมได้เห็นเรา เพราะฉะนั้นขอให้ชนรุ่นหลังจงได้มีโอกาสบูชา

พระบรมสารีริกธาตุของเราต่อไปโดยทั่วถึง พระองค์จึงทรงอธิษฐานให้พระธาตุเป็นชิ้น

เล็ก ชิ้นน้อยและกระจัดกระจายไปในที่ต่างๆ ในที่ที่มีการเคารพสักการะ


ความคิดเห็น 2    โดย paderm  วันที่ 31 มี.ค. 2554

พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงอธิษฐานก่อนปรินิพพานว่า ขอให้พระบรมสารีริกธาตุจงอยู่กับ

ชนที่เคารพสักการะเรา ส่วนที่ไหนไม่มีการเคารพสักการะพระบรมสารีริกธาตุแล้วก็ขอให้

พระบรมสารีริกธาตุย้ายไปอยู่ในที่ที่มีการเคารพสักการะ เพราะฉะนั้นจากประเด็นที่ถาม

ว่าพระบรมสารีริกธาตุเกิดขึ้นเองได้ไหม ตามที่เรียนไว้ในตอนต้นว่า พระบรมสารีริกธาตุ

มีประมาณเท่าใดตอนแรกปรินิพพานจนถึงปัจจุบันและอนาาคตก็มีเท่าเดิม ไม่มีการเกิด

ขึ้น เพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อน แต่ด้วยเหตุผลว่า ทำไมบางที่พระบรมสารีริกธาตุจึงเพิ่มขึ้น

นั่นเพราะเหตุผลที่พระพุทธเจ้าได้อธิษฐานไว้ว่าขอให้พระบรมสารีริกธาตุจงอยู่กับชนที่

เคารพสักการะเรา ส่วนที่ไหนไม่มีการเคารพสักการะพระบรมสารีริกธาตุแล้วก็ขอให้

พระบรมสารีริกธาตุย้ายไปอยู่ในที่ที่มีการเคารพสักการะ เพราะฉะนั้นที่ที่มีการเคารพ

สักการะจึงเพิ่มขึ้น ส่วนที่ไม่มีการเคารพสักการะก็หายไปมาอยู่ในที่ที่มีการเคารพ

สักการะแทนครับ ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 3    โดย tanon  วันที่ 31 มี.ค. 2554
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 18124 ความคิดเห็นที่ 1 โดย paderm

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้านั้น เมื่อครั้งที่พระองค์ปรินิพพานใหม่ๆ มีประมาณ

เท่าใด ปัจจุบันจนถึงสิ้นพระศาสนาก็มีประมาณเท่านั้นคือมีจำนวนเท่าเดิมไม่เพิ่มขึ้น

พระพุทธเจ้าที่ทรงมีพระชนมายุยืนเช่นพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ยุคสมัยนั้นมนุษย์

มีอายุ 20000 ปี พระบรมสารีริกธาตุจะมีชิ้นเดียว เป็นแท่งเดียวจะไม่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

เหมือนพระพุทธเจ้าที่มีพระชนมายุสั้น ส่วนพระพุทธเจ้าสมัยเราคือพระพุทธเจ้าพระ

สมณโคดม สมัยนั้นมนุษย์มีอายุขัย100 ปีซึ่งเป็นอายุที่สั้นเพราะฉะนั้นพระบรม

สารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าเราจึงเป็นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย ด้วยเหตุผลที่พระองค์ได้

อธิษฐานให้กระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อยเพราะพระองค์ทรงดำริว่าเรามีอายุที่

สั้น ชนทั้งหลายรุ่นหลังไมไ่ด้เห็นเรา เพราะฉะนั้นขอให้ชนรุ่นหลังจงได้มีโอกาสบูชา

พระบรมสารีริกธาตุของเราต่อไปโดยทั่วถึง พระองค์จึงทรงอธิษฐานให้พระธาตุเป็นชิ้น

เล็ก ชิ้นน้อยและกระจัดกระจายไปในที่ต่างๆ ในที่ที่มีการเคารพสักการะ

มีคนเคยบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา ผมก็เลยงงๆ เพราะถ้าอ่านดูดีๆ จะ

เหมือนนิทานมากๆ เพราะเขาบอกว่าแถบอินเดียนั้น เป็นแดนแห่งมหาภาระตะ มีความ

เชื่อเยอะแยะมากมาย ไม่รู้อะไรจริงไม่จริง เฮ้อ ยังไงดีครับ ถ้ามันไม่ใช่ความจริง ขอ

อนุโมทนา


ความคิดเห็น 4    โดย paderm  วันที่ 31 มี.ค. 2554

เรียนความเห็นที่ 3

พระธรรมของพระพุทธเจ้าทรงแสดงตามความเป็นจริง หากแต่ว่าผู้ที่จะเชื่อและมี

ศรัทธาในพระธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงนั้น จะต้องเริ่มจากการศึกษาพระธรรม

จริงๆ จนมีความเข้าใจปัญญาเจริญขึ้น ย่อมเห็นตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าทรง

แสดง เพราะฉะนั้นผู้มีศรัทธาและปัญญาเท่านั้นที่จะเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า

ส่วนผู้ไม่มีศรัทธา ไม่ได้ศึกษาพระธรรมจากคำสอนจริงๆ ย่อมไม่เชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรง

แสดง เพราะฉะนั้นการจะเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งใด บุคคลนั้นจะต้องเริ่มศึกษาให้เข้าใจใน

คำสอนของศาสนานั้น จึงจะสามารถเชื่อหรือไม่เชื่อได้ครับ ขออนุญาตนำพระธรรมคำ

สอนที่ได้ผมได้กล่าวอ้างถึงเรื่องพระธาตุกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และที่พระ-

ธาตุจะมาสู่ที่ที่เคารพสักการะ จะไม่อยู่ในที่ไม่มีการเคารพสักการะครับ


ความคิดเห็น 5    โดย paderm  วันที่ 31 มี.ค. 2554

เรื่อง พระบรมสารีริกธาตุกระจัดกระจาย [เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 455

จริงอยู่ สรีระของพระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืนทั้งหลาย ย่อมติดกันเป็นพืดเช่นกับ

แท่งทองคำ. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานพระธาตุให้กระจายว่า เราอยู่ได้ไม่

นานก็จะปรินิพพาน ศาสนาของเรายังไม่แพร่หลายไปในที่ทั้งปวงก่อน เพราะฉะนั้น

เมื่อเราแม้ปรินิพพานแล้ว มหาชนถือเอาพระธาตุแม้ขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดทำ

เจดีย์ ในที่อยู่ของตนๆ ปรนนิบัติ จงมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.


ความคิดเห็น 6    โดย paderm  วันที่ 31 มี.ค. 2554

พระบรมสารีริกธาตุจะไปสู่ที่ที่มีการเคารพสักการะ

[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 171

ธาตุปรินิพพาน จักมีในอนาคต.จักมีอย่างไร?คือครั้งนั้น ธาตุทั้งหลายที่ไม่ได้รับสักการะ

และสัมมานะในที่นั้นๆ ก็ไปสู่ที่ๆ มีสักการะ และสัมมานะ ด้วยกำลังอธิษฐานของ

พระพุทธเจ้าทั้งหลาย. เมื่อกาลล่วงไป สักการะและสัมมานะก็ไม่มีในที่ทั้งปวง.

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 7    โดย khampan.a  วันที่ 31 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นมาในโลกเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงอนุเคราะห์เกื้อกูลให้สัตว์โลกได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริงได้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงเหมือนอย่างพระองค์ พระองค์ทรงประกาศพระศาสนาด้วยการทรงแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา ซึ่งมีผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง มากมาย นับไม่ถ้วน เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วสิ่งที่ยังเหลืออันเป็นส่วนของพระวรกายของพระองค์ คือ พระบรมสารีริกธาตุ ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ซึ่งจะยังคงมีอยู่จนกว่าจะถึงกาลที่พระธาตุจะอันตรธาน เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบนมัสการสักการะบูชา เป็นกุศลของผู้ที่นมัสการสักการะบูชาแต่่สิ่งที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลสูงสุดสำหรับชีวิตของทุกคน คือ ความเข้าใจพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง พระองค์ทรงแสดงว่าพระธรรมวินัยที่พระองค์ทรงแสดงไว้แล้วจักเป็นศาสดาแทนพระองค์ ผู้ที่ฟัง ศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ ความรู้ ความเข้าใจก็จะค่อย ๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ เพราะการที่จะได้ประโยชน์จากการอุบัติของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณผเดิม และ ทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 8    โดย panasda  วันที่ 31 มี.ค. 2554
ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 9    โดย intira2501  วันที่ 1 เม.ย. 2554
ขอขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของ ทุกๆ ท่านค่ะ

ความคิดเห็น 10    โดย สุภาพร  วันที่ 1 เม.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย wannee.s  วันที่ 1 เม.ย. 2554

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าได้เห็นเราตถาคต


ความคิดเห็น 13    โดย chaiyut  วันที่ 2 เม.ย. 2554

เป็นบุญแล้วที่ได้เกิดมามีมือ มีสัทธา แล้วมีโอกาสกราบไหว้บูชาสักการะพระบรม-สารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา กราบไหว้แล้ว ศึกษาพระธรรมแล้วสำคัญอย่างมาก คือ ปฏิบัติบูชา ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 14    โดย tanon  วันที่ 2 เม.ย. 2554

ที่สุดแล้วก็ไม่มีหลักข้อพิสูจน์ เป็นอย่างที่พี่น้องชาวพุทธบางท่านได้กล่าวว่า เราหาข้อ

สรุปไม่ได้จริงๆ และมักปิดประตูการตอบคำถามว่า คนนี้ ท่านนี้ ท่านนู้นตรัสว่าอย่างนู้น

อย่างนี้ผมเป็นห่วงความเชื่อในพระศาสนาของเรา ที่ผู้สอนต่อๆ กันมาไม่มีหลักคิดจังเลย

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 15    โดย paderm  วันที่ 2 เม.ย. 2554

เรียนความเห็นที่ 14 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงจึงเป็นเรื่องของปัญญา ผู้มีปัญญารู้ด้วยตนเอง

เท่านั้นจึงจะเชื่อ จึงจะเข้าใจพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง หลักพิสูจน์จึงไม่ใช่เรื่องของรูปธรรมที่สามารถจะหยิบมาให้ดู แต่เป็นเรื่องของนามธรรมที่เป็นปัญญาที่เป็นการรู้ได้เฉพาะตน การศึกษาพระธรรมเท่านั้นจึงจะรู้ความจริง ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง เชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ดังพระพุทธพจน์ที่กล่าวว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา พิสูจน์ด้วยปัญญา ด้วยการศึกษาพระธรรมครับ


พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 338

เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร)

ข้าพระองค์มีความสงสัย ไม่รู้ว่าท่านสมณะเหล่านี้ ใครพูดจริง ใครพูดเท็จดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบว่า ควรแล้วท่านจะสงสัย ความสงสัยของท่านเกิด

ขึ้นแล้วในเหตุควรสงสัยจริง

1. ท่านอย่าได้ถือโดยได้ฟังตามกันมา

2. อย่าได้ถือโดยลำดับสืบๆ กันมา

3. อย่าได้ถือโดยความตื่นว่าได้ยินอย่างนี้ๆ

4. อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา

5. อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา

6. อย่าได้ถือโดยนัยคือคาดคะเน

7. อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ

8. อย่าได้ถือโดยชอบใจว่า ต้องกันลัทธิของตน

9. อย่าได้ถือโดยเชื่อว่า ผู้พูดสมควรจะเชื่อได้

10. อย่าได้ถือโดยความนับถือว่า สมณะผู้นี้เป็นครูของเรา

เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั่นแลว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศลธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรม

เหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็น

ประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ ดังนี้ ท่านควรละธรรมเหล่านั้นเสีย

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 16    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 2 เม.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 17    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 2 เม.ย. 2554
ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 18    โดย pamali  วันที่ 4 เม.ย. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

ความคิดเห็น 19    โดย สมศรี  วันที่ 4 เม.ย. 2554
ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 20    โดย icenakub  วันที่ 5 เม.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ :)


ความคิดเห็น 21    โดย พุทธรักษา  วันที่ 7 เม.ย. 2554
ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 22    โดย petcharath  วันที่ 7 เม.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 23    โดย tanon  วันที่ 11 เม.ย. 2554

ขอขอบพระคุณท่านความคิดเห็นที่15 แต่พี่ผมกล่าวอ้างนั้นเพราะว่าหลักข้อพิสูจน์ที่มีการพูดถึงก่อนนั้นเป็นข้อพิสูจน์ที่พูดมาในรูปของรูปธรรม ดังนั้นถ้าเราจะพิสูจน์สิ่งนั้นเราก็ต้องพิสูจน์ทางรูปธรรมเช่นเดียวกัน จะใช้หลักนามธรรมไม่ได้ และถ้าพิสูจน์ได้ตามหลักนามธรรม สิ่งนั้นก็ไม่ถูกเรียกว่าพิสูจน์ได้แล้วครับ เพราะพิสูจน์จริงต้องเห็นได้ทางรูปธรรมด้วย เพราะสิ่งนี้มีรูปธรรมที่จะจับต้องได้ หากจะจับต้องไม่ได้ ต้องไม่มี่คำกล่าวหรือคำสอนดังที่ปรากฎ เพราะมันสะท้อนว่าต้องจับต้องได้ ครับ ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 24    โดย paderm  วันที่ 11 เม.ย. 2554

เรียนความเห็นที่ 23

จะเห็นไดว่าสัตว์โลกสะสมมาต่างๆ กัน ตามความเข้าใจที่สะสมมา สิ่งที่พระพุทธเจ้า

ทรงแสดง ดังพระพุทธคุณที่ว่า พึงเรียกให้มาดู พึงน้อมเข้าใมาในตน นั่นคือปัญญา

ความเข้าใจ มิใช่จะตัดสินพระพุทธศาสนาว่าจะจริงหรือเท็จด้วยความเป็นรูปธรรมที่จะ

ต้องจับพิสูจน์ได้

พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของปัญญา ปัญญาสามารถเห็นได้ทางตาหรือไม่ ไม่-

แน่นอนครับ เพราะเป็นเรื่องของปัญญา พระพุทธองค์มิได้มุ่งหมายให้พวกเธอทั้งหลาย

จงพิสูจน์เถอะว่า พระบรมสารีริกธาตุของเราจริงหรือไม่ แต่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม

อันมีปาฏิหารย์คืออนุสาสนีปาฏิหารย์ที่สามารถทำให้สัตว์โลก เข้าใจได้และเกิดปัญญา

เพื่อดับกิเลสนี่คือจุดประสงค์ของพระพุทธองค์ครับ เมื่อพิสูจน์ได้จริง แล้วใครจะเชื่อว่า

จริงก็ย่อมมีข้อสงสัย มีข้อเคลือบแคลงแล้วประโยชน์ที่ได้คืออะไร ถ้าไม่เข้าใจธรรม

ก็เหมือนการไหว้ในสิ่งที่ไม่เข้าใจเพราะการเห็นพระองค์การเข้าใจใกล้พระองค์จริงๆ คือ

การเข้าใจพระธรรม

เราคงไม่ลืมคำว่า การดูภายนอกเป็นเครื่องตัดสิน แต่ปัญญาต่างหากที่จะรู้ความจริง

ทั้งหมดและประโยชน์คือขัดเกลากิเลสและละกิเลสได้ในที่สุด เพราะฉะนั้นก็ต้องกลับ

มาที่ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรมด้วยตนเอง เพราะเครื่องพิสูจน์ตัดสินก็คือปัญญาของผู้

ศึกษา หากไม่ศึกษาแล้ว เชื่อว่าจริงหรือไม่จริงก็ไม่มีประโยชน์เพราะไม่มีศรัทธาเข้าใจ

พระธรรมของพระองค์ครับ และที่สำคัญที่สุด แม้จะไม่มีการพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่จริงแต่

ก็มีผู้บรรลุมากมาย ตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงบัดนี้ที่มีผู้เข้าใจพระธรรม อันเกิดจากการ

ศึกษาพระธรรมนี่คือประโยชน์ของพระพุทธศาสนา ปัญญาเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์

พระพุทธศาสนา ไม่ใช่รูปธรรมอย่างใดเลยครับ ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 26    โดย ก.ไก่  วันที่ 3 มี.ค. 2565

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ


ความคิดเห็น 27    โดย Witt  วันที่ 21 มิ.ย. 2565

ขออนุโมทนาครับ