อกุศลเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เมื่อมีเหตุปัจจัย อกุศลก็เกิดขี้น
ไม่มีใครต้องการแต่ก็เกิดขึ้นแล้ว
แม้มหาโจรที่เป็น มหาโจรได้ก็เพราะสั่งสมเหตุปัจจัยเช่นนั้นมา
แม้ไม่ต้องการโกรธแต่หากมีปัจจัยโกรธก็เกิด
เกิดแล้ว ดับแล้ว จะเป็นของใคร
อะไรจะบังคับไม่ให้สิ่งที่ มีจริงๆ เป็นไปตามกำลังของสิ่งที่สั่งสมไว้ได้นั้นย่อมไม่มี
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ใครๆ จะบังคับให้สภาพธรรม เกิด หรือ ไม่เกิด ย่อมไม่ได้
ชีวิตของแต่ละบุคคลที่ดำเนินไปในแต่ละวันๆ นั้น เป็นไปตามการสะสมอย่างแท้จริง ซึ่งมีทั้งดี และ ไม่ดี ที่กล่าวว่า ดี ก็เพราะธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เช่น ศรัทธา (ความผ่องใสแห่งจิต) หิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป) อโลภะ (ความไม่ติดข้อง) อโทสะ (ความไม่โกรธ) เป็นต้น ส่วนที่กล่าวว่า ไม่ดี ก็เพราะอกุศลธรรม มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ นั่นเอง ซึ่งทั้งหมดก็เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเลย
ชีวิตของผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้อบรมเจริญปัญญา ก็ดำเนินไปอย่างผู้ที่ไม่มีปัญญา ดำเนินไปด้วยความประมาท เพลิดเพลินมัวเมา ไม่เห็นโทษของอกุศล ไม่เห็นประโยชน์ของกุศล จิตใจมีแต่จะคล้อยไปในทางที่เป็นอกุศล เพิ่มพูนกิเลส เพิ่มพูนสังสารวัฏฏ์ให้ยืดยาวต่อไปอีก เป็นผู้เสื่อมอย่างที่สุดเพราะไม่มีปัญญาที่เข้าใจความจริง ทั้งๆ ที่รู้ว่าในที่สุดแล้วก็จะต้องตาย แต่ก็ยังประมาทอยู่ เพราะไม่มีปัญญา ไม่เห็นคุณของกุศลธรรม และไม่เห็นโทษของอกุศลธรรม นั่นเอง บุคคลประเภทนี้ ย่อมเดือดร้อนทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า, ในทางตรงกันข้าม ชีวิตของผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ได้อบรมเจริญปัญญา ก็ดำเนินไปตามปกติ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ดับกิเลสอะไรๆ เลย อกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา โทสะความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อมีเหตุปัจจัยที่ทำให้ความโกรธเกิดขึ้น แต่ก็มีปัญญาที่ค่อยๆ รู้ขึ้น เข้าใจขึ้นในความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ว่าเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปแล้วก็ดับไป พร้อมทั้งเห็นโทษของอกุศลที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง แล้วมีความละอายมีความเกรงกลัวที่จะถอยกลับจากอกุศล ขัดเกลาให้เบาบางลง ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เริ่มด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ในชาตินี้ ความเข้าใจยังน้อย ก็จะต้องสะสมศรัทธา มีความมั่นคงที่จะฟัง ที่จะศึกษาพระธรรมต่อไปด้วยความไม่ท้อถอย สะสมเป็นเหตุที่ดีไว้ เมื่อสังสารวัฏฏ์ยังไม่จบสิ้น เกิดในชาติต่อๆ ไป ก็จะได้ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาต่อไปอีก ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของคุณผู้ใช้นามว่า one_someoneและทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์
บังคับไม่ได้เลย
ผู้ถาม บางทีเราอาจจะไปเจอบุคคลที่ไม่เป็นมิตรกับเรา อาตมาเคยลองกับตัวเองว่า คนๆ นี้ไม่เป็นมิตรแก่เราๆ ไม่ชอบเขาๆ ก็ไม่ชอบเรา เกิดมาคุยกันก็มาทำเป็นกระมิดกระเมี้ยน จะญาติดีก็จริง แต่โทสะก็เกิดขึ้นตามมาตลอด เราระลึกถึงสภาวะคือโทสะอยู่ อาจารย์ก็เลยบอกว่าเราควรจะห่างวัตถุที่เป็นอาฆาตวัตถุออกไป อกุศลจิตของเราจะได้ไม่เกิดขึ้น เมื่ออกุศลจิตไม่เกิดขึ้น โอกาสที่เราจะเจริญศีล สมาธิ ปัญญา หรือให้ทาน รักษาศีล เจริญบุญกิริยาวัตถุก็จะง่ายกว่าที่จะไปเจอสิ่งที่เป็นอาฆาตวัตถุหรือไม่เป็นมิตรกับเรา
สุ. ไม่มีใครทราบได้ว่าขณะต่อไปจะเห็นอะไร พระคุณเจ้าจะไปที่โน่น ก็คงจะไม่ทราบล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม้แต่ผู้ที่ได้รับภัยพิบัติ ก็ไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อนเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างให้ทราบว่ามีปัจจัยก็เกิด และสำหรับเรื่องของการช่วยเหลือ การช่วยบุคคลอื่นเป็นกุศลจิต แต่ว่าผู้รับพร้อมที่จะรับสิ่งที่เราช่วยหรือเปล่า เพราะว่าความทุกข์มีหลายรูปแบบ ทุกข์ไม่มีที่อยู่อาศัย และทุกข์อะไรๆ อีกเยอะแยะเลย เพราะฉะนั้นเราก็จะเห็นได้ว่าการช่วยเหลือของแต่ละบุคคลตามความถนัดและตามความสามารถ ผู้ใดมีความสามารถในเรื่องของการสร้างที่พักก็ช่วยในเรื่องนั้น ผู้ใดมีความสามารถที่จะสะสมอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะบริจาคก็ช่วยเรื่องนั้น เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็มีกุศลจิตตามความถนัด ถ้าเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจธรรม ก็จะมีความเข้าใจว่าช่วยคนอื่น ถ้าเขายังมีความเห็นผิดหรือว่ามีความไม่รู้ ช่วยเท่าไหร่ก็ไม่จบเพราะว่ายังคงมีความเห็นผิดต่อไป และก็ยังคงมีอกุศลต่อไป ซึ่งจะทำให้ทำอกุศลกรรมซึ่งเป็นเหตุให้เขาต้องได้รับอกุศลวิบากซ้ำแล้วซ้ำอีกทุกภพทุกชาติ
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าถ้าบุคคลใดพร้อมที่จะฟังสิ่งที่มีเหตุผล เราก็อาจจะสนทนากับเขา แต่เรื่องการช่วยเหลือ ถ้าเราจะเอาพระคัมภีร์มาอ่านหรือพูดเรื่องราวแบบเทศนาก็อาจจะไม่สามารถทำให้เขาเข้าใจขณะนั้นได้มากตามสมควร เท่ากับสิ่งที่เขากำลังเป็น เพราะฉะนั้นถ้าเป็นการสนทนาธรรมในเรื่องที่เขาพร้อมที่จะเข้าใจได้ในขณะนั้น เช่นทุกคนไม่มีใครหวังว่าสิ่งที่ร้ายๆ จะเกิดขึ้น แต่ว่าทุกคนเมื่อมีกรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อกรรมนั้นถึงกาลที่ให้ผลก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวอย่างของผู้ที่ได้รับภัยพิบัติร่วมกันมีนานาอาชีพ นานาวัย ต่างกันไปโดยประการต่างๆ เมื่อถึงกาลที่กรรมของแต่ละบุคคลจะให้ผล ก็ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้เลย นี่ก็ค่อยแสดงให้เขาเห็นความจริงว่า ทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เขาก็จะเริ่มเข้าใจความหมายของอนัตตา และก็ยังแสดงให้เห็นว่าการที่เมื่อมีภัยพิบัติเกิดขึ้นแล้ว แต่ละคนได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน บางคนก็รอดชีวิตได้แต่ก็มีบาดแผลมีอะไรต่างๆ นี่ก็แสดงให้เห็นถึงการให้ผลของกรรมซึ่งก็ต่างกันไป ถ้าสามารถที่จะทำให้เขาเข้าใจได้ถูกต้องในเรื่องของกรรมและผลของกรรม ก็จะทำให้เขาค่อยคลายเศร้าเสียใจว่าทำไมเขาถึงได้รับผลอย่างนี้ โดยที่เขาไม่รู้ว่าเหตุเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ต้องพร้อมทั้งผู้รับและผู้ให้ด้วย แต่ถ้าเป็นคนที่เขาไม่สามารถจะอยู่ในฐานะที่รับฟังอะไรได้ กำลังทุกข์โศกอย่างสาหัสถึงกับจิตแพทย์ ก็คงต้องเป็นหน้าที่ของยา หน้าที่ของหมอ นี่ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน ซึ่งถ้ามีกุศลจิตจะช่วย ก็ช่วยตามกำลังด้วยปัญญาที่รู้ว่าเขาสามารถจะเกิดความเข้าใจถูกต้องได้แค่ไหน แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ทุกข์ก็มาซ้ำแล้วซ้ำอีกทับถมไม่เรื่องนั้นก็เรื่องนี้ แต่ถ้ามีปัญญาขึ้น ไม่ว่าทุกข์ใดๆ จะมาในรูปแบบใด เขาก็สามารถที่จะมีความเข้าใจถูกได้ ก็ตามฐานะของแต่ละบุคคล ตามเพศด้วยว่าเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ผู้ที่จะละความโกรธได้ต้องบรรลุเป็นพระอนาคามี ปุถุชนเป็นผู้หนาแน่นด้วยกิเลส แม้รู้ว่าความโกรธไม่ดี เมื่อมีเหตุปัจจัยก็ยังโกรธ ส่วนคนที่มีปัญญาก็รู้ว่าความโกรธเป็นธรรมะที่มีจริงไม่ใช่เราค่ะ
ขออนุโมทนา
สาธุ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ