เรามาพิจารณาความไวของขณะจิต ในการกระพริบตาหนึ่งครั้งอาจจะมีจิตเกิดดับได้ถึงแสนโกฎิดวง ถ้านับเป็นวิถีจิต ก็คือประมาณ ๖ พันโกฎิวิถี (หกหมื่นล้าน) ดังนั้นถ้า
วิถีแรกได้เป็นพระโสดาฯ
วิถีที่สองได้เป็นสกิทาคาฯ
วิถีที่สามได้เป็นอนาคาฯ
วิถีที่สี่ได้เป็นพระอรหันต์
แค่สี่วิถีติดกันจากหกพันโกฎิวิถีในหนึ่งกระพริบตานั้นก็ยังไวอย่างยิ่งอยู่ดี ไวกว่าฟ้าแลบเสียอีก ดังนั้นคำพูดที่ว่าสามารถบรรลุได้พรวดเดียวจะผิดแปลกหรือไม่ ขอให้พิจารณา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การบรรลุธรรมไม่ว่าจะเป็นใคร จะเป็นสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า และ พระพุทธเจ้า จะต้องบรรลุด้วยปัญญา ที่สะสมมาจนมีกำลังแก่กล้า ซึ่งแต่ละคนก็สะสมปัญญามาแตกต่างกัน สำหรับการบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ก็จะต้องบรรลุเป็นพระโสดาบันก่อนเสมอ และเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ซึ่งการบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ผู้มีปัญญามากก็บรรลุได้อย่างรวดเร็ว แต่เป็นไปตามลำดับ แต่ไม่ใช่วิถีจิตเดียวกัน ก็คนละวิถี แต่เพราะการเกิดดับของจิตที่รวดเร็ว ทำให้เหมือนดูสั้น มาก ความจริงจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน เพียงชั่วเวลานิดเดียวพระโพธิสัตว์ก็ก้าวข้ามความเป็นปุถุชน เมื่อเป็นพระโสดาบันแต่ยังไม่ถึงความเป็นพระพุทธเจ้า และก็ถึงสกทาคามีมรรค สกทาคามิผล จนท้ายที่สุด อรหัตตมรรคเกิดขึ้นถึงการดับกิเลสหมดสิ้น ถึงอรหัตถผล ถึงความเป็นพระพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ โดยบรรลุติดต่อกันไปอย่างรวดเร็ว และตรัสรู้ด้วยตนเอง และ สามารถสั่งสอนให้ผู้อื่นบรรลุธรรมได้ด้วยคือ พระพุทธเจ้า นี่สำหรับผู้มีปัญญามาก ครับ
ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้า คือ บุคคลที่บรรลุได้ด้วยพระองค์เอง แต่ไม่มีคุณธรรมที่จะสามารถสอนให้ผู้อื่นบรรลุได้ แต่ก็มีปัญญามาก มากกว่าพระสารีบุตร เพราะสามารถตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง เพราะฉะนั้น เมื่ออ่านประวัติของพระปัจเจกพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ท่านได้พิจารณาด้วยพระองค์เองก็บรรลุอย่างฉับพลันเป็นพระพุทธเจ้าทันที แต่อย่างไรก็ดี ก็จะต้องผ่านความเป็นพระโสดาบันก่อนเสมอ และต่อไปตามลำดับ เป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี และ ถึงความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่ออรหัตตมรรคจิตดับไป อรหัตตผลจิตดับต่อ แต่เพราะความเป็นผู้มีปัญญามากจึงรวดเร็ว เพียงเห็นใบทองหลางที่ร่วงหล่นลงพื้น ก็บรรลุธรรมทันทีอย่างรวดเร็ว ซึ่งขณะนั้นก็มีจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน เพียงชั่วเวลานิดเดียว ครับ ก็สามารถบรรลุธรรมเพราะมีปัญญามาก
ส่วนพระสาวก ต้องอาศัยการฟัง ศึกษาพระธรรม ซึ่งพระสาวกแต่ละองค์ก็มีปัญญาไม่เท่ากันแม้จะบรรลุเหมือนกัน แม้แต่การเป็นพระโสดาบัน บางบุคคลก็ต้องค่อยๆ เกิดสติปัฏฐาน อบรมไป กว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบัน ก็ใช้ระยะเวลายาวนานมาก เพราะปัญญายังไม่มาก ไม่แก่กล้า แต่ผู้ที่มีปัญญามาก ฟังเพียงสั้นๆ วิถีจิตเกิด พิจารณาธรรม ก็ได้บรรลุธรรมอย่างรวดเร็ว เช่น พระสารีบุตรได้ ฟังพระอัสสชิก็บรรลุธรรมเพียงบทธรรมสั้นๆ ครับ ส่วนบางรูป เพียงฟังบทสั้นๆ เช่น พระพาหิยะ ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเพียงสั้นๆ ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ทันที แต่ก็จะต้องผ่านความเป็นพระโสดาบันในขณะนั้นก่อน จนถึงพระอรหันต์ แต่เพราะจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน และ รวดเร็ว จึงดูว่า เวลาไม่มาก ที่สั้น แต่จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน ในขณะนั้นก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ในขณะจิตระหว่างนั้นได้เป็นธรรมดา ครับ
เพราะฉะนั้น จึงแตกต่างกันไปตามการสะสม ตามแต่ละบุคคลที่จะบรรลุธรรมได้รวดเร็วหรือไม่รวดเร็ว แต่จะต้องเป็นไปตามลำดับ ที่สำคัญ อยู่ที่การอบรมเหตุให้ถูกต้อง เป็นพื้นฐาน คือ การฟังพระธรรมให้เข้าใจในหนทางที่ถูกต้อง เพราะถ้าเริ่มจากสิ่งที่ถูก อย่างไรผลก็ต้องถูกแน่นอน ครับ ส่วนจะบรรลุช้า หรือ เร็ว ก็เป็นเรื่องของธรรม ตามเหตุปัจจัย ครับ สำคัญ คือ ขณะนี้อบรมเหตุที่ดี คือ การฟังพระธรรม ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสตามลำดับขั้นตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้น เป็นได้ด้วยการอบรมเจริญ ปัญญา ไม่ใชด้วยหนทางอื่น ประการที่สำคัญ กว่าปัญญาจะเจริญถึงความเจริญสมบูรณ์พร้อมต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน พระอริยสงฆ์สาวกในอดีตล้วนเป็นผู้สะสมอบรมเจริญปัญญามาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานด้วยกันทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ต้อได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ในฐานะที่เป็นสาวกของพระองค์นั่นเองครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
พระปัจเจกพุทธเจ้า บรรลุธรรมด้วยตนเอง ไม่มีใครสอน ส่วนพระโสดาบันต้องฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า หรือ สาวก ถึงจะบรรลุธรรม บรรลุเป็นพระโสดาบัน ไปตามลำดับจนถึงพระอรหันต์ ไม่มีการกระโดดข้ามขั้น ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ขออนุโมทนา สาธุ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ