[เล่มที่ 56] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 95
๗. วานรินทชาดก
ธรรมของผู้ที่ล่วงพ้นศัตรู
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 56]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 95
๗. วานรินทชาดก
ธรรมของผู้ที่ล่วงพ้นศัตรู
[๕๗] "ดูก่อนพระยาวานร ผู้ใดมีธรรม ๔ ประการนี้ คือสัจจะ ธรรมะคือวิจารณปัญญา ธิติคือความเพียร จาคะ เหมือนท่าน ผู้นั้นย่อมล่วงพ้นศัตรูได้".
จบ วานรินทชาดกที่ ๗
อรรถกถาวานรินทชาดกที่ ๗
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภความตะเกียกตะกายขวนขวายเพื่อการฆ่าของพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "ยสฺเสเต จตุโร ธมฺมา" ดังนี้.
ในสมัยนั้น พระศาสดาทรงสดับข่าวว่า พระเทวทัตกำลังตะเกียกตะกายเพื่อปลงพระชนม์ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตตะเกียกตะกายเพื่อฆ่าเรา แม้ในกาลก่อน ก็เคยตะเกียกตะกายแล้วเหมือนกัน แต่ไม่อาจกระทำเหตุเพียงความสะดุ้งแก่เราได้เลย แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 96
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกระบี่ ครั้นเจริญวัย มีร่างกายเติบโตขนาดลูกม้า สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง เที่ยวไปตามแนวฝั่งน้ำลำพังผู้เดียว ก็กลางแม่น้ำนั้น มีเกาะแห่งหนึ่ง อุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้อันมีผลนานาชนิด มีมะม่วงและขนุนเป็นต้น พระโพธิสัตว์มีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง โจนจากฝั่งแม่น้ำข้างนี้แล้ว ก็ไปพักที่หินดาดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอยู่กลางลำน้ำระหว่างฝั่งแห่งเกาะ โจนจากแผ่นหินนั้นแล้ว ก็ขึ้นเกาะนั้นได้ ขบเคี้ยวผลไม้ต่างๆ บนเกาะนั้น พอเวลาเย็นก็กระโดดกลับมาด้วยอุบายนั้น กลับที่อยู่ของตน ครั้นวันรุ่งขึ้น ก็กระทำเช่นนั้นอีก พำนักอยู่ในสถานที่นั้น โดยนิยามนี้แล.
ก็ในครั้งนั้น มีจระเข้ตัวหนึ่งพร้อมกับเมียอาศัยอยู่ในน่านน้ำนั้น เมียของมันเห็นพระโพธิสัตว์โดดไปโดดมา เกิดแพ้ท้องต้องการกินเนื้อหัวใจของพระโพธิสัตว์ จึงพูดกะจระเข้ผู้ผัวว่า ทูลหัว ฉันเกิดแพ้ท้อง ต้องการกินเนื้อหัวใจของพานรินทร์นี้ จระเข้ผู้ผัวกล่าวว่า ได้ซี่ เธอจ๋า เธอจะต้องได้ แล้วพูดต่อไปว่า วันนี้พี่จะคอยจ้องจับ เมื่อมันกลับมาจากเกาะในเวลาเย็น แล้วไปนอนคอยเหนือแผ่นหิน พระโพธิสัตว์เที่ยวไปทั้งวัน ครั้นเวลาเย็น ก็หยุดยืนอยู่ที่ชายเกาะ มองดูแผ่นหินแล้วดำริว่า บัดนี้ แผ่นหินนี้สูงกว่าเก่า เป็นเพราะเหตุอะไรหนอ ได้ยินว่า ประมาณของน้ำและประมาณของแผ่นหิน พระโพธิสัตว์กำหนด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 97
ไว้เป็นอย่างดีทีเดียว ด้วยเหตุนั้น จึงมีวิตกว่า วันนี้ก็ไม่ลงและไม่ขึ้นเลย ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ หินนี้ดูใหญ่โตขึ้น จระเข้มันนอนคอยจับเราอยู่บนแผ่นหินนั้นบ้างกระมัง พระโพธิสัตว์คิดว่า เราจักทดสอบดูก่อน คงยืนอยู่ตรงนั้นแหละ ทำเป็นพูดกะหิน พลางกล่าวว่า แผ่นหินผู้เจริญ ยังไม่ได้รับคำตอบ ก็กล่าวว่า หินๆ ถึง ๓ ครั้ง หินจักให้คำตอบได้อย่างไร วานรคงพูดกะหินซ้ำอีกว่า แผ่นหินผู้เจริญ เป็นอย่างไรเล่า วันนี้จึงไม่ตอบรับข้าพเจ้า จระเข้ฟังแล้วคิดว่า ในวันอื่นๆ แผ่นหินนี้คงให้คำตอบแก่พานรินทร์แล้วเป็นแน่ บัดนี้เราจะให้คำตอบแก่เขา พลางกล่าวว่า อะไรหรือพานรินทร์ผู้เจริญ พระโพธิสัตว์ถามว่า เจ้าเป็นใคร.
เราเป็นจระเข้.
เจ้ามานอนที่นี่ เพื่อต้องการอะไร.
เพื่อต้องการเนื้อหัวใจของท่าน.
พระโพธิสัตว์ดำริว่า เราไม่มีทางไปทางอื่น วันนี้ต้อง ลวงจระเข้ตัวนี้ ครั้นคิดแล้ว จึงพูดกะมันอย่างนี้ว่า จระเข้สหายรัก เราจะตัดใจสละร่างกายให้ท่าน ท่านจงอ้าปากคอยงับเรา ในเวลาที่เราถึงตัวท่าน เพราะหลักธรรมดามีอยู่ว่า เมื่อจระเข้อ้าปาก นัยน์ตาทั้งสองข้างก็จะหลับ จระเข้ไม่ทันกำหนดเหตุ (อันเป็นหลักธรรมดา) นั้น ก็อ้าปากคอย ทีนั้นนัยน์ตาของมันก็ปิด มันจึงนอนอ้าปากหลับตารอ พระโพธิสัตว์รู้สภาพเช่นนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 98
ก็เผ่นไปจากเกาะ เหยียบหัวจระเข้ แล้วโดดจากหัวจระเข้ไปยังฝั่งตรงข้าม เร็วเหมือนฟ้าแลบ จระเข้เห็นเหตุอัศจรรย์นั้น คิดว่า พานรินทร์นี้กระทำการน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก พลางพูดว่า พานรินทร์ผู้เจริญ ในโลกนี้บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมครอบงำศัตรูได้ ธรรมเหล่านั้น ชะรอยจะมีภายในของท่านครบทุกอย่าง แล้วกล่าวคาถานี้ ใจความว่า.
"พานรินทร์ ธรรม ๔ ประการเหล่านี้ สัจจะ ธรรม ธิติและจาคะ มีแก่บุคคลใดเหมือนมีแก่ท่าน บุคคลนั้นย่อมพ้นศัตรูไปได้ ดังนี้".
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส ได้แก่ บุคคลใดบุคคลหนึ่ง.
บทว่า เอเต ความว่า ย่อมปรากฏโดยประจักษ์ในธรรมที่เราจะกล่าวในบัดนี้.
บทว่า จตุโร ธมฺมา ได้แก่ คุณธรรม ๔ ประการ.
บทว่า สจฺจํ ได้แก่ วจีสัจ คือที่ท่านบอกว่าจักมาสู่สำนักของข้าพเจ้า ท่านก็มิได้กระทำให้เป็นการกล่าวเท็จ มาจริงๆ ทีเดียว ข้อนี้เป็นวจีสัจของท่าน.
บทว่า ธมฺโม ได้แก่ วิจารณปัญญา กล่าวคือความรู้จักพิจารณาว่าเมื่อทำอย่างนี้แล้ว จักต้องมีผลเช่นนี้ ข้อนี้เป็นวิจารณปัญญาของท่าน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 99
ความเพียรอันไม่ย่อหย่อนขาดตอนลง ท่านเรียกว่า ธิติ แม้คุณธรรมข้อนี้ก็มีแก่ท่าน.
บทว่า จาโค ได้แก่ การสละตน คือการที่ท่านสละชีวิตมาถึงสำนักของเรา แต่เราไม่อาจจับท่านได้ นี้เป็นโทษของเราฝ่ายเดียว.
บทว่า ทิฏฺํ ได้แก่ ปัจจามิตร.
บทว่า โส อติวตฺตติ ความว่า ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้ ดังพรรณนามานี้มีแก่บุคคลใดเหมือนมีแก่ท่าน บุคคลผู้นั้นย่อมก้าวล่วง คือครอบงำเสียได้ ซึ่งปัจจามิตรของตน เหมือนดังท่านล่วงพ้นข้าพเจ้าไปได้ในวันนี้ ฉะนั้น.
จระเข้สรรเสริญพระโพธิสัตว์อย่างนี้แล้ว ก็ไปที่อยู่ของตน.
แม้พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัต มิใช่เพื่อจะตะเกียกตะกายจะฆ่าเรา ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ตะเกียกตะกายเหมือนกัน ดังนี้แล้ว ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา สืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า จระเข้ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัตในครั้งนี้ เมียของจระเข้ ได้มาเป็นนางจิญจมาณวิกา ส่วนพานรินทร์ ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาวานรินทชาดกที่ ๗