ตอบปัญหาธรรมที่ตึกสรีรวิทยา รพ. ศิริราช ๔ เมษายน ๒๕๒๗
ท่านผู้ฟัง การเฝ้าสังเกตดูความคิดนึกของตัวเองอยู่เสมอๆ คิดดีก็รู้ คิดชั่วก็รู้แต่ทำไมเมื่อมีอารมณ์มากระทบ แม้เพียงเสี้ยววินาทีก็จะมีอาการโกรธ เกลียด หรือไม่พอใจขึ้นมาทันทีทั้งๆ ที่รู้ว่าโกรธนั้นไม่ดี แต่ทำไมจึงสลัดมันออกจากความคิดนึกไม่ได้มีวิธีใด ที่จะระงับความโกรธให้ได้เร็วที่สุด ก่อนที่จะแสดงออกทางตา ทางปาก ทางกาย และควรจะเจริญธรรมอะไรในขณะนั้นแทนความโกรธ
ท่านอาจารย์ อยากให้มีโลภะ แทนความโกรธไหม เพราะความเป็นจริงนั้น ทุกคนชอบโลภะ ถ้าไม่มีโลภะเลย ก็จะไม่มีการเกิดอีกเลย สิ้นสุด การที่จะต้องเห็น ต้องได้ยิน ฯลฯ สำหรับคนที่คิดว่า ไม่ชอบโลภะนั้น จะไม่ชอบเพียงชื่อ "โลภะ" เท่านั้น แต่ใจจริง ปฏิเสธไม่ได้ว่าชอบโลภะ ชอบความสนุก ชอบดูรูปสวยๆ ฯลฯ เห็นได้ว่า วันหนึ่งๆ แสวงหาแต่โลภะ เมื่อไม่ได้ จึงโกรธ ไม่พอใจ ขุ่นใจ
ฉะนั้น ผู้ที่จะไม่โกรธเลย ต้องเป็นผู้ที่ไม่ยินดีใน รูป รส กลิ่น เสียง การสัมผัสทางกายเมื่อไรที่เป็นได้อย่างนั้น เมื่อนั้นจึงจะไม่โกรธนี่คือสภาพธรรม ตามความเป็นจริงและผู้ที่จะไม่โกรธเลย ไม่มีแม้แต่ความไม่แช่มชื่นใจเพียงเล็กน้อยต้องเป็นผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสได้ถึงขั้น พระอนาคามีบุคคล
คำถามที่ว่า การเฝ้าสังเกตดูความคิดนึกของตัวเองอยู่เสมอๆ คิดดีก็รู้ คิดชั่วก็รู้ ถ้าหากอารมณ์ที่มากระทบ เป็นอารมณ์ที่น่าพอใจก็จะไม่โกรธ ไม่เกลียด ฉะนั้น ขณะที่ไม่แช่มชื่น ไม่พอใจ โกรธ เกลียด เพราะว่า ขณะนั้นเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ เมื่อสภาพธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น เป็นไป ตามเหตุ ตามปัจจัย ดังนั้น ความพอใจและไม่พอใจ ก็เกิดขึ้นเพราะปัจจัยต่างๆ ด้วย
ที่ว่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าโกรธ เกลียด ไม่ดีนั้น ทุกคนรู้ แต่เมื่อไม่ใช่ พระอนาคามีบุคคล จึงไม่สามารถที่จะละความไม่แช่มชื่นใจ หรือความไม่พอใจได้
พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงหนทางปฏิบัติที่จะทำให้บรรลุธรรม ถึงขั้นที่จะไม่โกรธ ไม่ขุ่นเคืองใจได้จริงๆ แต่ต้องเริ่มจากการอบรมเจริญปัญญา ตามลำดับขั้น คือ ในขั้นของการฟัง...ฟัง และพิจารณา ให้เข้าใจและอบรมเจริญปัญญา จนสามารถรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรม ตามลำดับขั้น
เมื่อบรรลุธรรมเป็น พระโสดาบัน แล้วก็ยังมีความโลภ โกรธ หลง แต่ไม่มีความเห็นผิด ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบัน พระสกทาคามี และ พระอนาคามี เป็นพระเสกขบุคคล คือ เป็นผู้ที่ยังต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไปจนกว่าจะดับกิเลสได้ ตามลำดับขั้น ถึงขั้น พระอรหันต์ จึงจะดับกิเลสได้หมดสิ้น ไม่มีกิเลสใดๆ เหลืออีกเลย
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา เป็นไปเพื่อละ เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส สูงสุด คือ เพื่อความเป็นผู้หมดจดจากกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์ พระธรรมจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลสำหรับผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาและมีความเข้าใจ พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติตาม อย่างแท้จริง เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนเพิ่มขึ้น เกี่ยวกับเรื่องความโกรธ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับหลายๆ คน (รวมถึงตัวเองด้วย) จึงใคร่ขอเรียนเชิญทุกท่าน คลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ ครับ
ซ่อนตัวอยู่เงียบๆ
มีอะไรติดมา มีอะไรติดไป
มีใครคนหนึ่งแนะนำให้ศึกษาพระธรรม
สำคัญที่ ...น้อมประพฤติปฏิบัติตาม
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ก็ยังต้องมีความขุ่นเคืองใจ ความไม่แช่มชื่นใจ ความโกรธอยู่
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
สาธุ
ละความไม่รู้ค่ะ
^^
ขออนุโมทนาค่ะ
เมื่อสภาพธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น เป็นไป ตามเหตุ ตามปัจจัย ดังนั้น ความพอใจและไม่พอใจ ก็เกิดขึ้นเพราะปัจจัยต่างๆ ด้วย
อนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ